ทั้งที่ครั้งก่อนพรรคเพื่อไทยเคยเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นบัตรเลือกตั้ง ให้กลับไปใช้ 2 บัตร แต่พรรคร่วมรัฐบาล และ ส.ว.กลับคว่ำโดยไม่ใยดี
แต่ครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐกลับเลือกที่จะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบเสียเอง และยืนยันจะเดินหน้าเต็มพิกัด
ขณะเดียวกัน ยังมีสัญญาณบ่งบอกตั้งแต่ก่อนเริ่มลงมติวาระที่ 1 ว่า ประเด็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ จะผ่านไปแบบฉลุย โดยไม่มีอุปสรรค แม้จะบางพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคไม่เห็นด้วยก็ตาม
และแม้จะมี ส.ว.บางคนทำท่าจะไม่เอาบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เพราะเห็นว่าจะพาประเทศกลับไปสู่ที่เก่า เพิ่มขนาดให้กับพรรคการเมืองใหญ่ ได้มีอำนาจมโหฬารในรัฐบาล แต่เมื่อเป็นร่างที่พรรคพลังประชารัฐเสนอ และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค หนักแน่นที่จะเอา ย่อมไม่มีปัญหาเมื่อถึงเวลากดปุ่มโหวต
ในขณะที่แกนหลักของรัฐบาลวันนี้ ยังเป็นพี่น้อง 3 ป. พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เหมือนกับรัฐบาล คสช.
ส.ว.วันนี้จึงไม่ต่างจากแม่น้ำ 5 สายของรัฐบาล ดังนั้น เมื่อแกนหลักส่งสัญญาณ “ดัน” ย่อมต้องไปในทิศทางนั้น เพียงแต่อาจจะมีกลยุทธ์และวิธีที่แยบยลกว่า
ส่วนเสียงฝ่ายค้าน 20% ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านสภาได้ ตรงนี้ไม่มีปัญหา เพราะประเด็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คือ จุดร่วมเดียวกัน
พรรคพลังประชารัฐ รู้อยู่แล้วว่า หากเสนอประเด็นนี้ พรรคเพื่อไทยจะเทคะแนนให้ เนื่องจากอยากกลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ หลังจากระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียว หรือระบบจัดสรรปันส่วนผสม ทำให้พวกเขาไม่สามารถมี ส.ส.ทะลุเพดานเหมือนในสมัยพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และช่วงที่ผ่านมาได้
การได้ ส.ส.แบบแบ่งเขตมหาศาล เป็นเหมือนดาบสองคมของพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ต่างอะไรกับการบอนไซ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ให้ไม่ได้แม้แต่คนเดียว
ดังนั้น หากกลับไปใช้ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ พรรคเพื่อไทยย่อมมีโอกาสจะได้ ส.ส.มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งตรงนี้พรรคพลังประชารัฐรู้ดีว่า หากชงเข้ามา ย่อมได้เสียง 20% จากพรรคเพื่อไทย ต่อให้พรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ไม่เอาด้วยก็ตาม
อย่างไรก็ดี การที่พรรคพลังประชารัฐ เลือกกลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการเป็นพรรคขนาดใหญ่ที่มีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ หลังจากระบบจัดสรรปันส่วนผสมกลายเป็นดาบสองคมไปเพิ่มอำนาจต่อรองให้พรรคขนาดเล็ก พรรคขนาดกลาง
ช่วงที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐอาจทำให้พรรคเพื่อไทยกลายสภาพเป็นฝ่ายค้านได้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับการต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย สุดท้ายก็ทำงานลำบาก
นอกจากนี้ ประสบการณ์จากสนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ที่ผ่านมา ซึ่งพรรคพลังประชารัฐชนะ 100% จากทุกสนามที่ลงแข่งขัน ทำให้แกนนำของพรรคมีความมั่นใจว่า ถึงตรงนี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งบัตรเลือกตั้งใบเดียวอีกต่อไปแล้ว สามารถไปแข่งกับพรรคเพื่อไทยในกติกาเดิมๆ ได้แล้ว
ในพื้นที่อีสาน ภาคเหนือ ที่เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ซึ่งแม้พรรคพลังประชารัฐจะสามารถเจาะได้บ้างในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 แต่ยังไม่พอใจ พวกเขาต้องการกวาด ส.ส.แบบแบ่งเขตให้ได้มากกว่านี้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
มี ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐบางคนพูดว่า บัตร 2 ใบ จะแก้เกมของพรรคในพื้นที่ภาคอีสานและเหนือได้ โดยเน้นผู้สมัครที่มีฐานเสียงแน่นในพื้นที่ เพื่อหวัง ส.ส.แบบแบ่งเขต ส่วนบัตรอีกใบที่เลือกพรรค เป็นการสร้างทางเลือกให้กับคนที่ยังเหนียวแน่นพรรคเพื่อไทยและไม่ชอบพรรคพลังประชารัฐ
มีการประเมินแล้วว่า สูตรนี้จะเป็นประโยชน์ต่อพรรคพลังประชารัฐมากกว่าระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียว ที่เห็นแล้วว่า ก่อให้เกิดปัญหาอีกแบบ
ขณะที่พรรคเพื่อไทย อาจจะยินดีปรีดาที่กลับไปใช้กติกานี้ เพราะมีโอกาสจะชนะถล่มทลายอีกครั้ง แต่อย่าลืมว่า ผู้มีอำนาจต้องดีดลูกคิดมาแล้วเรื่องความเสี่ยง
ถ้าไม่มั่นใจว่าจะชนะ มีหรือจะเตะหมูเข้าปากหมา.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |