ไทยติดเชื้อ 4,108 ราย ดับ 31 คน คลัสเตอร์ใหม่ผุดไม่หยุด ห่วงบ้านเด็กอ่อนรังสิตวัย 3-6 ขวบป่วย 33 ราย โควิด กทม.ยังหนักพุ่ง 99 แห่ง ศบค.ระดมบุคลากรแพทย์ ตจว.เข้ากรุง สั่งปรับพื้นที่เพิ่มศักยภาพขยายเตียงรับผู้ป่วยอาการรุนแรง 'อนุทิน' รับฟังข้อเสนอล็อกดาวน์ กทม. ยันระบบสาธารณสุขยังไม่ล่ม ททท.เผยนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.5 พันคนประเดิมภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 1 ก.ค.
    ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่่ 24 มิถุนายน เวลา 12.30 น. พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวันว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4,108 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 3,865 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 2,835 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุก 1,030 ราย มาจากเรือนจำ 229 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 14 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ลักลอบเข้าเมืองผ่านช่องทางธรรมชาติจากกัมพูชา 2 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 232,647 ราย หายป่วยเพิ่มเติม 1,578 ราย หายป่วยสะสม 191,355 ราย อยู่ระหว่างรักษา 39,517 อาการหนัก 1,564 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 445 ราย เสียชีวิตเพิ่มเติม 31 ราย เป็นชาย 16 ราย หญิง 15 ราย อยู่ใน กทม. 28 ราย พระนครศรีอยุธยา 2 ราย ลพบุรี 1 ราย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสม 1,775 ราย     
    สำหรับ 5 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงสุดของวันที่ 24 มิ.ย. ได้แก่ กทม. 1,359 ราย สมุทรปราการ 297 ราย สมุทรสาคร 259 ราย ชลบุรี 254 ราย สงขลา 216 ราย ส่วนภาพรวมทั่วประเทศพบคลัสเตอร์ใหม่ในหลายพื้นที่ ประกอบด้วย จ.สมุทรสาคร พบที่ อ.เมือง 2 คลัสเตอร์ คือ โรงงานผลิตภัณฑ์ยาง 9 ราย โรงงานกุ้ง 9 ราย จ.นนทบุรี ที่โรงงานสาหร่ายแปรรูป อ.ปากเกร็ด 11 ราย จ.ปทุมธานี ที่บ้านเด็กอ่อนรังสิต อ.ธัญบุรี 39 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุ 3-6 ปี 33 ราย ผู้ดูแล 6 ราย โดยผู้ติดเชื้อรายแรกมาจากพนักงานขับรถ ทาง ผอ.ศบค.ชุดเล็กจึงเน้นย้ำผู้ดูแลผู้สูงอายุและเด็กเล็กต้องมีความรับผิดชอบส่วนตัวที่ต้องเข้มงวดมาตรการเฝ้าระวังตัวเอง และกำชับให้เจ้าของสถานที่ทั้งเอกชนและรัฐตรวจตราบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่มีสถานประกอบการในพื้นที่ดูแล ขอให้ติดตามตรวจสอบอย่างเคร่งครัด 
    ขณะที่ กทม. ขณะนี้คลัสเตอร์เฝ้าระวัง 99 คลัสเตอร์ใน 42 เขต ในจำนวนนี้มี 3 คลัสเตอร์ใหม่คือ แคมป์คนงานก่อสร้าง ซอยรามคำแหง 7 เขตบางกะปิ พบผู้ติดเชื้อ 164 ราย แคมป์คนก่อสร้าง สีลมซอย 9 เขตบางรัก พบผู้ติดเชื้อ 126 ราย และบริษัทผลิตหมวกกันน็อก เขตบางขุนเทียน พบผู้ติดเชื้อ 165 ราย โดยผู้ติดเชื้อรายแรกเป็นพนักงานที่ไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 เพื่อเตรียมตัวผ่าตัด 
    ส่วนการบริหารจัดการเตียงใน กทม.และปริมณฑล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค. ได้เน้นย้ำทุกหน่วยงานให้ช่วย กทม.และปริมณฑลเพิ่มศักยภาพขยายเตียงดูแลผู้ป่วยระดับสีเหลืองและสีแดง เพื่อให้รองรับผู้ป่วยระดับรุนแรงได้ มีการพูดถึง รพ.ผู้สูงอายุบางขุนเทียน และ รพ.ราชพิพัฒน์ ที่จะพยายามยกระดับรองรับผู้ป่วยระดับรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งหารือกับ รพ.เอกชน อาทิ รพ.มงกุฎวัฒนะ และ รพ.ธนบุรี ปรับพื้นที่ที่มีให้สามารถรองรับผู้ป่วยกลุ่มอาการรุนแรงได้มากขึ้น นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ม.มหิดล และวชิรพยาบาล ระดมบุคลากรให้เปิดเตียงรองรับได้อีกกว่า 50 เตียงภายใน มิ.ย.นี้ และปลัด สธ.มอบหมายให้ทุกภาคส่วนของ สธ.ระดมสรรพกำลังในการเพิ่มประสิทธิภาพให้ กทม.และปริมณฑล โดยมีการพูดคุยกันว่าต้องระดมบุคลากรทางการแพทย์ทั้งในส่วนของทหาร บุคลากรสาธารณสุขจากต่างจังหวัดที่เพิ่งสอบเสร็จ ให้มาช่วยที่ กทม.และปริมณฑล รวมถึงการเพิ่มปริมาณทีมสอบสวนโรคด้วย
    พญ.อภิสมัยกล่าวด้วยว่า มีการหารือกันเรื่องอนุญาตผู้ป่วยเลือกดูแลตนเองที่บ้าน หรือ Home Isolation มีรายละเอียดมากมาย แต่ยังเอามาเป็นข้อสรุปไม่ได้ มีอันตรายที่เป็นความเสี่ยงต้องพิจารณาหลายจุด
    ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า พร้อมรับฟังข้อเสนอจากอาจารย์แพทย์ถึงมาตรการล็อกดาวน์ กทม.เพื่อควบคุมโรคโควิด-19 ซึ่งจะมีคณะกรรมการและ ศบค.พิจารณาในทุกมิติ เพื่อใช้มาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้หารือกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ว่าพร้อมสนับสนุนทุกเรื่องในการควบคุมโรค ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 เช่น ที่โรงพยาบาลบุษราคัมรองรับผู้ป่วยอาการสีเหลือง ถือว่าช่วยแบ่งเบาพื้นที่ กทม.ได้อย่างมาก จะสิ้นสุดสัญญาการเช่าสถานที่ ได้รายงานนายกรัฐมนตรีเพื่อหาสถานที่ภาคส่วนราชการต่างๆ ที่มีความเหมาะสมในการทำเป็นโรงพยาบาล ซึ่งนอกจากมีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ระบบต้องเหมาะสมด้วย เช่น สถานีกลางบางซื่อ แม้มีพื้นที่ใหญ่ แต่ระบบแอร์เชื่อมโยงกันทั้งหมด ไม่สามารถตั้งเป็นโรงพยาบาลสนามได้ อย่างไรก็ตาม จะหารือกับประธานเมืองทองธานี เพื่อขอใช้สถานที่ทำโรงพยาบาลบุษราคัมต่ออีก 2-3 เดือน
     "ขณะนี้การระบาดส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ กทม. ปริมณฑล และอีก 2-3 จังหวัด การบริหารจัดการใช้ระบบเขตสุขภาพเข้ามาสนับสนุนช่วยเหลือกัน ระดมทรัพยากรต่างๆ เข้ามาช่วยดูแลได้ จึงไม่อยากให้มองแค่เฉพาะบางจุด เพราะอาจคิดว่ามีความหนาแน่นและไม่เพียงพอ เมื่อมองทั้งระบบสาธารณสุขยังบริหารจัดการได้ ยืนยันว่าระบบสาธารณสุขไม่มีวันล่มสลาย ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ระดมกำลังทั้งประเทศเข้ามาได้เหมือนโรงพยาบาลบุษราคัมที่ได้เปิดให้บริการในขณะนี้ ตอนนี้เราพยายามแก้ปัญหาในพื้นที่ก่อน เพื่อไม่ให้ไปถึงจุดนั้น โดยระหว่างนี้ต้องพยายามลดจำนวนผู้ติดเชื้อลง และขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดควบคุมคลัสเตอร์ต่างๆ ด้วยมาตรการบับเบิลแอนด์ซีล ที่ต้องห้ามเข้า-ออกอย่างจริงจัง 
    ส่วนเรื่องการเปิดประเทศเป็นเรื่องอีก 120 วันข้างหน้า ระหว่างนี้ต้องเตรียมความพร้อมทุกอย่าง เมื่อมีความพร้อมแล้วจะมีการประชุมหารือกันอีกครั้ง เพื่อนำเสนอทั้งด้านสาธารณสุข ความมั่นคง เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว หากพิจารณาแล้วยังเปิดไม่ได้ก็คือเปิดไม่ได้ ไม่ใช่ยังไม่ทำอะไรแล้วบอกอย่าไปเปิด ต้องรอไปประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
    นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศสมาคมเสนอมาตรการควบคุมป้องกันโรคโควิดอย่างเร่งด่วน 5 แนวทาง อาทิ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำเป็นจะต้องจัดให้มีหน่วยสอบสวนเคลื่อนที่เร็วให้เพียงพออย่างน้อย ให้มีเขตหรืออำเภอละ 3 ทีม ทีมละ 4 คน และจะต้องทำการสอบสวนโรคให้เสร็จสิ้นภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อทราบว่ามีการระบาดโรค
    ที่ จ.นครปฐม พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 119 ราย โดยมาจากคลัสเตอร์กลุ่มผู้ชำแหละเนื้อสุกรในตลาด กลุ่มผู้ประกอบอาชีพลักษณะโรงงาน สถานประกอบการ การติดจากบุคคลในครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน
    ที่ จ.ชัยนาท พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายที่ 106 เป็นหญิง อายุ 37 ปี เป็นพนักงานเทศบาลตำบลโพธิ์พิทักษ์ อ.สรรพยา มีประวัติเสี่ยงเดินทางไปทำฟันที่คลินิกและรับประทานอาหารแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กทม. ทีมสอบสวนโรคจึงตรวจหาเชื้อผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่เป็นคนในครอบครัว จำนวน 9 คน ผลตรวจพบติดเชื้อแล้ว 6 คน 
    ที่ จ.อำนาจเจริญ พบติดเชื้อเพิ่ม 5 ราย นอกจากนี้ได้สั่งปิดโรงเรียนปทุมราชวงศา อ.ปทุมราชวงศา ระหว่างวันที่ 24-25 มิ.ย. เนื่องจากมีบุคคลในพื้นที่ใกล้เคียงโรงเรียนติดโควิด
    ที่ จ.นครราชสีมา พบผู้ติดเชื้อในพื้นที่ อ.เสิงสาง เพิ่มอีก 1 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อรวม 11 ราย และมีบุคคลกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง จำนวน 133 ราย และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 12 ราย โดยเจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังออกทำการตรวจหาเชื้อจากกลุ่มเสี่ยงสัมผัสสูงใน 3 จุดคือ ที่โรงพยาบาลเสิงสาง, บ้านหนองรังกา และโรงเรียนภูริตา ที่มีนักเรียนติดเชื้อ 2 ราย อายุ 6 ปี และ 7 ปี
    ที่ จ.ปัตตานี มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 105 คน มียอดสะสม 1,427 คน รักษาหายแล้ว 473 คน เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย รวมยอดสะสม 4 ราย นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเสี่ยงสูง รอผลตรวจยืนยันว่าติดเชื้ออีกจำนวนมาก ขณะที่โรงพยาบาลสนามทั้ง 5 แห่ง ในจังหวัดมีผลกระทบอย่างหนัก โรงพยาบาลสนามมีเตียงรองรับไม่เพียงพอ ทำให้กลุ่มเสี่ยงสูงที่ถูกส่งมาต้องพากลับไปกักตัวที่บ้านไปก่อน นอกจากนี้ ผู้ว่าฯ ปัตตานีได้กำชับไปยังนายอำเภอทุกอำเภอ หากพบว่าชุมชนใดที่พบผู้ติดเชื้อสูงให้พิจารณาเพื่อทำการปิดชุมชน เช่นเดียวกับตลาดนัดต่างๆ หลายพื้นที่ก็เริ่มทยอยปิดตลาดไปบ้างแล้ว
    ที่ จ.สงขลา นายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ประธานกรรมการโรคติดต่อ จ.สงขลา เปิดเผยว่า พบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ 216 ราย จากคลัสเตอร์ในโรงงาน สัมผัสผู้ติดเชื้อจากสงขลาแคนนิ่ง สัมผัสร่วมบ้านผู้ติดเชื้อ กลุ่มสัมผัสติดเชื้อในพื้นที่/โรงงาน/ร้านค้า สัมผัสเสี่ยงจากโรงเรียนสอนศาสนา จ.ยะลา สัมผัสเสี่ยงงานแต่ง จ.ปัตตานี กลุ่มสัมผัสเสี่ยงในชุมชน และอื่นๆ ยอดสะสม 4,159 ราย เสียชีวิต 17 ราย 
    ที่ จ.กระบี่ นายอำเภอคลองท่อมสั่งปิดโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทุกโรงในเขตตำบลคลองท่อมใต้ ตั้งแต่ 23 มิ.ย.-6 ก.ค. หลังพบครูและเด็กนักเรียนติดเชื้อ 23 ราย จากคลัสเตอร์งานฌาปนกิจที่วัดคลองท่อม 
    ที่ศูนย์ปฏิบัติการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ 191 ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต) พลโทเกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามความพร้อมภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ว่า เตรียมการรับนายกรัฐมนตรีที่มีกำหนดการเดินทางมาตรวจเยี่ยมจังหวัดภูเก็ตในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้หากโมเดลนี้ฝ่าวิกฤติที่เกิดขึ้นได้จะเป็นต้นแบบให้อีกหลายเมือง ซึ่งเป็นความหวังของการฟื้นฟูเศรษฐกิจภูเก็ตและประเทศไทย 
    นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ไฟลต์บินที่จะเข้ามาในวันที่ 1 ก.ค.จะมีทั้งหมดประมาณ 1.5 พันคน จะมาต่อเนื่องตลอดจนกระทั่งหมดไตรมาสที่ 3 ซึ่งพยายามทำให้เป็นไปตามเป้าหมาย 1 แสนคน มูลค่ารายได้นักท่องเที่ยวประมาณ 8.9 พันล้านบาท ส่วนคนไทยพยายามที่จะให้เข้าภูเก็ตเช่นกัน สร้างเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 5,500 ล้านบาท ในช่วง 3 เดือนของไตรมาสที่ 3 นี้.