เป็นอีกคนหนึ่งในวงการที่ติดโควิด-19 ช่วงแรก ๆ สำหรับสาว อีฟ พุทธธิดา ศิระฉายา ล่าสุดเจ้าตัวเปิดใจในรายการ z story ช่องอมรินทร์ทีวี ถึงอาการในครั้งนั้น พร้อมเล่าวินาทีที่รู้ว่าคุณพ่อ ต้อย เศรษฐา ก็ติดเชื้อเหมือนกัน
“เมื่อรู้ว่าเราติดไม่ได้กังวลว่าเราจะมีอาการรุนแรง เรากังวลว่าจะทำอย่างไรกับคนในครอบครัว เพราะว่าที่บ้านอยู่ด้วยกันทั้งหมด ก็เลยคิดว่าจะทำอย่างไรกับคนที่เหลือ สิ่งแรกคือต้องหาที่ให้ตัวเองไปก่อน ต้องกำจัดตัวเองไปก่อนเพราะเราติดเชื้อ ตอนนั้นเราตรวจผลจากแล็บ ก็ไม่มีโรงพยาบาลรองรับ เราก็ต้องคอนแทคกับโรงพยาบาลให้ได้ที่ไหนจะรับเคส แล้วเราก็สามารถย้ายออกไปได้ สุดท้ายก็ได้ไปอยู่ฮอสพิเทล
ส่วนคุณพ่อ จริงๆ ตอนแรกคุณพ่อไม่สมควรจะติด ช่วงที่เป็น คุณพ่อเพิ่งให้คีโม ไม่มีภูมิ บวกกลับเราออกไปรักษาก่อนเหลือแต่ลูกยังไม่ได้ตรวจก็เลยยังไม่ได้ถูกย้ายยังต้องอยู่กับตายาย ก็ให้เว้นระยะ ถึงเขาจะไม่มีอาการแต่ก็ไม่ควรจะอยู่ใกล้ แต่ด้วยความเป็นคุณตาก็ไม่สามารถห่างหลานได้ ในที่สุดคุณตาก็ได้ติดเชื้อ คุณพ่อไม่ได้มีไข้สูงอะไรเลย
ตอนที่รู้ว่าติดเชื้อ คุณพ่อไม่ได้กลัว ไม่กังวล ถ้าเค้ากลัวเค้าไม่ยุ่งกับหลานตั้งแต่แรกแน่นอน ตอนนั้นไม่มีอาการไม่มีไข้อะไรเลย แต่พอเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว ไปรู้สึกตอนอยู่โรงพยาบาล พอไปอยู่โรงพยาบาลคนเดียวต้องแยกกับคนที่บ้าน มันเป็นเรื่องภาวะทางจิตใจมากกว่า จะเกิดอาการกลัวกังวล ถ้าถามว่าโดยรวมคุณพ่อมีอาการร้ายแรงหรือไม่ ไม่มีเลย หมอบอกว่าเนื่องจากคุณพ่อมีภาวะปอดไม่แข็งแรงอยู่แล้ว มันก็เลยทำให้เชื้อเข้าไปที่ปอดได้ง่าย แต่มันเข้าไปนิดเดียว พอได้รับยาได้รับพลาสม่ามันก็เลยหยุดเลยค่ะ
ในบ้านเรามีติดทั้งหมดสี่คน มีเรา ลูกชาย สามี และคุณพ่อ แต่เข้าโรงพยาบาลแค่สองคน ก็คือสามีเรากับคุณพ่อ แต่ตอนแรกสามีก็ฮอสพิเทลด้วยกัน เพราะตอนแรกที่เข้าไปมันไม่ลงปอด เค้าเป็นคนค่อนข้างแข็งแรง ตอนแรกที่เริ่มเป็นก็บำรุงวิตามิน สมุนไพรไทยในการเพิ่มภูมิ คือคนในบ้านกินทุกคนแต่เรากับสามีมากินช้า ช้าหมายความว่าเป็นแล้วเพิ่งมากิน ส่วนพ่อแม่กินตั้งแต่ยังไม่เป็น เขาจะเบากว่าเรา สังเกตได้เลย แม่เลยรอด คือแม่ไม่น่ารอดเพราะเค้าอยู่ด้วยกันนอนด้วยกัน ในที่สุดแม่ก็รอด เรากับสามีมากินตอนเป็นแล้วแต่ก็ไม่รุนแรงเท่าเพื่อน
ออกจากโรงพยาบาลมายังมีเชื้ออยู่หรือเปล่า เราไม่สามารถพูดได้ว่ามีหรือไม่มี เราไม่รู้เนื่องจากเราไม่ได้ตรวจ หมอเคยบอกว่าคนที่ไม่มีอาการรุนแรงร่างกายจะกำจัดเชื้อได้ในภาวะปกติ คือเรากักตัว 14 วันเราไม่แพร่เชื้อแล้ว แต่คุณพ่อต้องอยู่กับคุณแม่ก็เลยมีการสวอพเทสก่อนจะออก พอตรวจก็ยังเจอเชื้อ ซึ่งมันอาจจะเป็นเชื้อที่ตายแล้วก็ได้นะ ถามว่าเราจะเสี่ยงไหม ถ้าไม่เสี่ยงก็แยกกันก่อนดีกว่า เพราะคนอายุมากการจำกัดเชื้อจะน้อยกว่าพวกเราทั่วไป เราก็เลือกไม่เสี่ยงมันก็เลยเกิดเหตุการณ์ ทำไมยังปล่อยให้กลับบ้านเพราะว่าคุณพ่อเริ่มมีภาวะเครียด บ้านเราแยกเป็นสองหลัง สามารถแยกกันได้หมด เราสามารถจัดการได้รู้ว่าแยกยังไง
ส่วนเรื่องธุรกิจ ถ้าเป็นร้านอาหาร เราลงทุนไปเยอะ เราเจอโควิดตั้งแต่ครั้งแรกแล้วเรื่อยๆ มา จนล่าสุดที่เราเป็นเองต้องปิดร้านเป็นเดือนๆ มันก็ขาดทุนสะสม เนื่องจากเราลงทุนหลายล้าน เรายังต้องควักเงินเติม เราก็ต้องยอมรับว่าไปต่อไม่ได้ ไม่ไหวก็ต้องตัดใจ ธุรกิจที่เราทำนอกจากร้านอาหารมันก็ยังมีธุรกิจอย่างอื่น เช่นกองละครก็ออกไม่ได้ เมื่อเราประเมินสถานการณ์โดยรวมว่าเราต้องตัดอะไรบางอย่าง เราก็เลยตัดสินใจปิดร้านอาหารไปก่อนค่ะ”
ขอบคุณภาพจากอินสตาแกรม yvessirachaya
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |