ตอนนี้สารพัดปัญหาที่รุมเร้ารัฐบาล ไหนจะต้องแก้ปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 ไหนต้องจัดหาวัคซีนให้เพียงพอกับความต้องการ, ไหนจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องของชาวบ้าน รวมไปถึงการแก้ไขปัญหาทุจริตในโครงการลงทุนต่างของภาครัฐ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบรางที่กำลังดังกระหึ่มไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นรถไฟทางคู่สายเหนือ-ตะวันออก การก่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว  และยังมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ที่คาราคาซังไม่รู้จะออกอีท่าไหน

                ทั้งนี้ หลังจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำสั่งรับคำฟ้องของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) (BTSC) กรณีผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตร 36 รวม 7 คน แก้ไขหลักเกณฑ์การคัดเลือกการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) และยกเลิกการประมูลโครงการดังกล่าว

                คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 มี.ค.64 กลุ่ม BTS ยื่นฟ้องผู้ว่าการ รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 รวม 7 คน ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางกรณีการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี  (สุวินทวงศ์) วงเงิน 128,128 ล้านบาท ในคดีหมายเลขดำที่ อท 30/64 ฐานความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 165 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172

                ขณะเดียวกัน ศาลได้สอบถามถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า มีข้อเท็จจริงเดียวกับที่นำมาฟ้องต่อศาลอย่างไรหรือไม่ โดยทนายนำเรียนศาลว่าเป็นกรณีบุคคลภายนอกไปร้องเรียนต่อดีเอสไอ ซึ่งมีข้อเท็จจริงบางส่วนที่สอดคล้องกัน แต่มีการหยิบยกประเด็นการฮั้วประมูลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งศาลจะให้เจ้าหน้าที่ศาลมีหนังสือสอบถามพร้อมส่งคำฟ้องไปยัง ป.ป.ช.เพื่อตรวจสอบอีกครั้ง

                แน่นอนว่าปัญหาดังกล่าวนี้ได้สร้างความหนักอกหนักใจให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นแน่แท้ แต่หากว่ากระทรวงคมนาคมและ รฟม.ปัดฝุ่นนำเอาเกณฑ์ประมูลคัดเลือกตามทีโออาร์ (TOR) เดิมมาใช้เท่านั้น จึงจะแก้ไขปัญหาคาราคาซังที่เป็นอยู่ได้ เพราะหากยังปล่อยให้ รฟม.ดำเนินการจัดประมูลภายใต้หลักเกณฑ์เจ้าปัญหา เชื่อแน่ว่าจะทำให้เส้นทางโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มเผชิญทางตันอย่างแน่นอน             

                เป็นที่รู้กันว่าก่อนที่ศาลปกครองจะมีคำสั่งให้  รฟม.ทุเลาการบังคับใช้เกณฑ์เจ้าปัญหาดังกล่าว จนทำเอาโครงการประมูลที่กำลังเดินมาถึงโค้งสุดท้ายต้องสะดุด และแม้ รฟม.จะพยายามแก้ลำทั้งการอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด และสุดท้ายถึงขั้นงัดไม้ตายสั่งยกเลิกการประมูลไป ด้วยหวังจะจัดประมูลใหม่ โดยนำเอาเกณฑ์พิจารณาคัดเลือกเจ้าปัญหาที่ว่ามาใช้ตั้งแต่แรก โดยไม่รอฟังคำพิพากษาของศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุด

                หากนับเนื่องจากวันที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการให้ รฟม.จัดประมูลหาเอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 29 ม.ค.2562 จนถึงวันนี้ที่ผ่านมากว่า 1 ปี 5 เดือนเข้าไปแล้ว โดยยังไม่มีทีท่าว่า รฟม.จะผ่าทางตันสางปัญหาคาราคาซังที่มีอยู่ได้ และยิ่งกับแนวทางการประมูลหลุดโลกที่ รฟม.ดั้นเมฆจะนำมาใช้ โดยที่ยังไม่มีการนำเสนอขออนุมัติหลักการใดๆ จาก  ครม.ด้วยแล้ว ถึงประมูลไปก็คงไม่พ้นถูกฟ้องคาราคาซังในชั้นศาลอยู่ดี

                อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าการเปิดประมูลฯ ที่ก่อนหน้านี้ รฟม.ได้เริ่มกระบวนการประกวดราคารอบใหม่ โดยจะประกาศเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อนำมาประกอบการจัดทำร่างเอกสารยื่นข้อเสนอโครงการ หรือ RFP จากเดิมที่กระบวนการจะแล้วเสร็จ สามารถขายซองประกวดราคารอบใหม่ได้ในปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา โดย  รฟม.ชี้แจงว่าจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้เป็นอุปสรรค โดยเฉพาะการที่ไม่สามารถเรียกประชุมคณะกรรมการมาตรา 36 ได้ จึงจำเป็นต้องเลื่อนกระบวนการทั้งหมดออกไปก่อน

                "ก็คงได้แต่ลุ้นว่าหลังจากนี้บทสรุปของการเปิดประมูลโครงการฯ จะมีความชัดเจนไปในทิศทางใด ในเส้นทางการประมูลก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่หลายฝ่ายจับตามองว่าหากมีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์คัดเลือกนั้น จะเป็นการเอื้อประโยชน์แก่เอกชนบางรายหรือไม่นั้น สุดท้ายแล้ว ณ ขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน ก็ได้แต่รอให้สถานการณ์โควิด-19 เบาบางลง เพื่อที่จะให้ รฟม.เดินหน้าเปิดไปมูลต่อไปได้ ถึงเวลานั้นแน่นอนว่ามีหลายฝ่ายเฝ้าจับตามองอย่างแน่นอน".

กัลยา ยืนยง