‘การทูตวัคซีน’ เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลไทยควรจะต้องเกาะติดและทำความเข้าใจเพื่อให้เกิดประโยชน์กับไทยมากที่สุด
เพราะมหาอำนาจและประเทศใหญ่ๆ ตระหนักว่าหากพวกเขาไม่ยื่นมือมาบริจาควัคซีนให้กับประเทศอื่นๆ ที่มีรายได้น้อยกว่าและเผชิญกับวิกฤติหนักกว่า โลกก็จะไม่มีวันสงบ
โควิด-19 ให้บทเรียนสำคัญข้อหนึ่งว่า “ไม่มีใครรอดได้หากไม่รอดกันทุกคน”
Nobody is safe until everyone is safe
เพราะโคโรนาไวรัสตัวนี้โจมตีไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นประเทศร่ำรวยหรือยากจน ไม่ว่าจะเป็นมหาอำนาจหรือประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จักหรือสนใจ
ด้วยเหตุนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จึงรู้ว่าสหรัฐฯ จะต้องเล่นบทนำในเรื่องนี้
หาไม่แล้วก็จะแพ้เกมการทูตวัคซีนของจีนที่มีความคึกคัก และปรับตัวทันกับกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างคล่องตัว
ไบเดนจึงประกาศบริจาควัคซีนให้ทั้งโลก 500 ล้านโดส
หลังจากนั้นผู้นำอเมริกันไปร่วมประกาศกับประเทศสมาชิก Group of 7 ที่รวยที่สุดในโลกเจ็ดประเทศบริจาควัคซีนไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านโดสให้กับ 100 ประเทศ
ไม่แต่เท่านั้น ญี่ปุ่นก็กระโจนลงมาแสดงความพร้อมที่จะช่วยเหลือประเทศในเอเชียเพื่อแสดงความเป็นผู้นำทางด้านนี้ด้วย
เพราะจีนได้เล่นบท “พี่ใหญ่” ที่ยื่นมือมาช่วยเหลือประเทศในแถบนี้อย่างเร่งด่วน หลังจากที่ปักกิ่งสามารถควบคุมสถานการณ์โควิดในประเทศได้
จีนส่งวัคซีน, หมอและอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปหลายๆ ประเทศทั้งในเอเชีย, แอฟริกา และแม้ในยุโรป
เพราะสี จิ้นผิง เป็นคนแรกที่ประกาศว่าจีนจะประกาศให้วัคซีนที่จีนผลิตได้เป็น “สินค้าสาธารณะ” หรือ public goods เพื่อให้ทุกประเทศเข้าถึงได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านสิทธิบัตร
ทำให้ไบเดนต้องลอกการบ้านของจีนในเกือบทุกๆ ด้านเพื่อไม่ให้จีนล้ำหน้าในเรื่องการทูตวัคซีน
ญี่ปุ่นเพิ่งประกาศมอบวัคซีน AstraZeneca 1 ล้านโดสให้เวียดนาม
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ส่งมอบวัคซีน 1.24 ล้านโดสให้ไต้หวัน
และประกาศว่าจะบริจาควัคซีนเพิ่มเติมให้กับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เช่น ไทย, อินโดฯ, มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
ถามว่าญี่ปุ่นให้เวียดนามเป็นจำนวนไม่น้อยอย่างรวดเร็วเพราะอะไร
คำตอบคือญี่ปุ่นลงทุนในเวียดนามมาก และต้องการจะกระชับความสัมพันธ์ด้านการค้าและการเมืองกับเวียดนาม
อีกทั้งสหรัฐฯ ยัง “ฝาก” ให้ญี่ปุ่นสานสัมพันธ์กับเวียดนามเพื่อสกัดอิทธิพลจีนในประเทศนั้น
ถามว่าญี่ปุ่นก็ลงทุนในไทยไม่น้อย ทำไมเราจึงไม่เห็นญี่ปุ่นแสดงความกระตือรือร้นในการส่งมอบวัคซีนให้ไทย
คำตอบก็อยู่ที่ “ยุทธศาสตร์การทูตวัคซีน” ของไทยเราเองด้วย
เวียดนามมีบทบาทคึกคักในเวทีระหว่างประเทศ และเชื่อมต่อกับทุกประเทศที่จะร่วมมือช่วยเหลือกันได้
ขณะที่ไทยเราดูเหมือนจะยังสาละวนกับการแก้ปัญหาวัคซีนภายในประเทศ จนไม่ได้ใช้การทูตระหว่างประเทศอย่างคล่องแคล่วอย่างที่ควรจะเป็น
การทูตวัคซีนวันนี้ย่อมโยงใยกับ “ภูมิรัฐศาสตร์” หรือ Geopolitics ไม่น้อย
นั่นหมายความว่าไทยเราจะต้องประเมินบทบาทของเราในภูมิภาคและต่อสายกับประเทศต่างๆ ที่เห็นความสำคัญของเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการที่จะต้องให้เห็นถึงความห่วงใยและเอื้ออาทรที่ประเทศใหญ่กว่า รวยกว่า ต้องโอบอุ้มประเทศเล็กกว่าและยากจนกว่าให้ผ่านพ้นวิกฤติโควิดไปด้วยกัน
ไทยเราต้องมีการวางทีมงานเพื่อการดำเนินการ “การทูตวัคซีน” โดยเฉพาะกับมิตรประเทศที่เราคุ้นเคยและมีความเชื่อมโยงอยู่แล้ว
แต่ภาระหน้าที่เช่นนี้ไม่ใช่ของกระทรวงต่างประเทศแต่เพียงหน่วยเดียว
ทุกกระทรวง ทบวง กรมจะต้องเข้ามามีส่วนในการวางยุทธศาสตร์และดำเนินนโยบาย ทั้งที่เป็นทางการแบบเปิดเผยและที่ต้องเชื่อมต่ออย่างไม่เป็นทางการ
เป้าหมายคือการให้ได้มาซึ่งวัคซีนในช่วงที่เราขาดแคลน อีกทั้งไทยเราควรจะเป็นผู้กระตุ้นให้เกิดความร่วมมือในภูมิภาคว่าด้วยการบริหารวิกฤติโควิดในทุกๆ มิติ
ในวิกฤตินี้ไทยเราต้องสร้างโอกาสในฐานะมีบทบาทในมิติใหม่ที่เราไม่คุ้นเคย แต่มีความสำคัญต่อภาพลักษณ์และความสำคัญของไทยเราในสมการการเมือง, สังคมและความมั่นคงใหม่
โควิดสอนเราว่าประเทศเล็กและกลางๆ ก็สามารถสร้างบทบาทที่มีความหมายไม่น้อยไปกว่าประเทศใหญ่ๆ ได้จริงๆ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |