15 มิ.ย.64- เนื่องจากการบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลวด้วยการคอร์รัปชั่นอำนาจเข้ามาของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตลอด ๗ ปีที่ผ่านมานั้น คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยภาคประชาชนอันหลากหลาย ได้ประกาศขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๔ เพื่อรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองที่กำลังวิกฤตและดิ่งลงสู่หุบเหวแห่งหายนะ ภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจและหนี้สิน รวมถึงความทุกข์เข็ญของประชาชนจากสถานการณ์โรคระบาดที่ประเทศไทยขาดผู้นำที่มีความสามารถในการแก้ปัญหา
คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย จึงขอบันทึกสรุปผลงานความล้มเหลวต่อสาธารณะ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ก่อกรรมทำเข็ญขึ้นต่อประเทศไทย และอาจหลงลืมไปว่าตนเองได้กระทำย่ำยีและทุจริตประพฤติมิชอบในการใช้อำนาจเผด็จการบริหารบ้านเมืองอย่างไรบ้าง โดยคณะรัฐมนตรีเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นในการออกมติร่วมกันเพื่อบริหารราชการแผ่นดินจนทำให้บ้านเมืองเสียหาย เกิดความทุกข์ยากเข็ญไปทุกหัวระแหง ยกเว้นก็แต่เพียงคณะของ พล.อ.ประยุทธ์ และพวก เท่านั้น
ประการที่ ๑ ภายหลังการรัฐประหาร ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ประชาชนผู้เห็นต่างถูกจับกุมคุมขังและถูกข่มขู่คุกคามจำนวนมาก โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ โดยอ้างว่าเพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ความสงบโดยเร็ว ประชาชนในชาติเกิดความรักความสามัคคี เช่นเดียวกับห้วงที่ผ่านมา โดยขอเวลาอีกไม่นานเพื่อเป็นการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ แต่เวลาผ่านไปล่วง ๗ ปี ประเทศชาติกลับถอยหลังลงคลอง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ดีขึ้น นอกจากวิกฤตประเทศที่รัฐบาลหลงอำนาจ หลอกลวงประชาชนและกลายเป็นคู่ขัดแย้งของประชาชนเสียเอง ข้อเสนอการปฏิรูปประเทศทุกอย่างถูกทอดเวลาออกไปเพื่อรักษาอำนาจไว้ โดยไร้การปฏิรูปใดๆ ตามพันธสัญญา แม้แต่การปฏิรูปตำรวจตามรัฐธรรมนูญก็ถูกยับยั้งเพื่อให้รับใช้อำนาจตนเองแต่เพียงกลุ่มเดียว จึงถือได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ “ตระบัดสัตย์” ต่อประชาชน
ประการที่ ๒ หลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒ ภายใต้รัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ และพวก ที่กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ตนเองเลือกมาสามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้ พล.อ.ประยุทธ์ และพวกได้คอร์รัปชั่นอำนาจจากสภาผู้แทนราษฎรก่อตั้งรัฐบาลกึ่งเผด็จการรัฐสภาขึ้น สถาปนาระบอบอำนาจนิยมแบบเบ็ดเสร็จ ควบคุมองค์กรอิสระในการตรวจสอบถ่วงดุลย์มาอย่างต่อเนื่องถึง 2 ปีกว่า โดยใช้อำนาจและเงินตราจ่ายค่าตอบแทนเพื่อปิดบังอำพรางความฉ้อฉลของตนเอง จึงนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่ความวิบัติฉิบหาย ระบบนิติรัฐ-นิติธรรมพังทลาย รวบอำนาจปวงชนชาวไทยไปอยู่ในมือของพวกพ้องตนเองไม่กี่คน ครอบงำศาลและกระบวนการยุติธรรม เปลี่ยนเจตนารมณ์รูปแบบการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กลายเป็น “ระบอบประยุทธ์” ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นศูนย์กลางของอำนาจทั้งหมด และกลายเป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจจนถึงปัจจุบัน
ประการที่ ๓ คณะรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ ล้มเหลวในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่มีผลงานให้เห็นเป็นรูปธรรมทั้งที่นโยบายการทุจริตคอร์รัปชั่นถือเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ตระหนักดีตั้งแต่เป็นรัฐบาลสมัยแรก ที่ถูกหนดไว้ในการแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจํา แต่ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นกลับหมักหมมต่อเนื่องกันมาหลายปี โดยเกิดขึ้นจากการบริหารที่ล้มเหลวของรัฐบาลที่ปราศจากการตรวจสอบ โดยใช้วาระแห่งชาติเรื่องการปราบปรามการทุจริตคอรรัปชั่นเป็นเพียงเพื่อสร้างภาพและเป็นเครื่องมือของรัฐบาลที่จะใช้จัดการฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ในขณะที่มีการปกป้องดูแลพวกพ้องของตนในฝั่งรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาเรื่องทุจริตอย่างเห็นได้ชัด ซ้ำร้ายยังปล่อยให้มีการทุจริตคอรัปชั่นเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยการโกงเงินภาษีประชาชนเป็นแสนล้านบาท ในวันที่เศรษฐกิจฝืดเคืองที่พี่น้องประชาชนอยู่ในสภาวะที่ลำบากยากเข็ญ และต้องต่อสู้กับภัยโควิด-๑๙
ประการที่ ๔ คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ไร้มาตรฐาน ขาดจริยธรรมและคุณธรรมอย่างร้ายแรง หลายคนมีผลประโยชน์ทับซ้อนและเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา หลายคนมีประวัติฉ้อฉลถูกกล่าวหาทุจริตประพฤติมิชอบมาก่อน การเสนอชื่อรัฐมนตรีล้วนมองแต่ผลประโยชน์ต่างตอบแทน จนระบบคุณธรรมและจริยธรรมได้กลายเป็นประเด็นการเมืองที่มีการโต้เถียงกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน เนื่องจากการฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงในการบริหารราชการแผ่นดิน แม้จะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๗๖ ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระดำเนินการให้มีมาตรฐานทางจริยธรรมภายใน ๑ ปี นับแต่วันประกาศในรัฐธรรมนูญ แต่รัฐบาลกลับได้ให้ความสำคัญไม่ จึงไม่สามารถเป็นแบบอย่างให้ข้าราชการของแผ่นดินกว่า ๒.๓ ล้านคนแต่อย่างใด
ประการที่ ๕ รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล หลอกลวงประชาชนที่รับปากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่หาเสียงและแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในขณะที่ภาคประชาชนและพรรคการเมืองผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย แต่รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ กลับใช้เผด็จการรัฐสภาเสียงข้างมากโดยมี ส.ว.๒๕๐ คนของตนเองที่ไม่ละอายต่อบาปลงมติปัดตกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง ๗ ฉบับ รวมถึงร่างแก้ไขของประชาชนโดยตรง และเตะถ่วงการแก้ไขจนนำไปสู่การตีความของศาลรัฐธรรมนูญกำหนดให้ประชาชนเป็นผู้สถาปนารัฐธรรมนูญ ให้มีการประชามติเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อไป แต่รัฐบาลก็ไม่ได้รีบเร่งดำเนินการดังกล่าวแต่อย่างใด ซ้ำร้ายยังพยายามใช้ระบบเผด็จการรัฐสภาเพื่อเสนอแก้ไขเฉพาะรายมาตราที่ตนเองได้ประโยชน์เท่านั้น
ประการที่ ๖ รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ปล้นอำนาจเพื่อเข้ามาโดยอ้างว่าเพื่อรักษาความสงบ แก้ไขความขัดแย้งและความวุ่นวายของบ้านเมือง แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นคู่ความขัดแย้งของประชาชนเอง โดยไม่มีแม้แต่แนวทางการปรองดองและสร้างความสามัคคีให้แก่คนไทยในชาติ แต่ประชาชนผู้เห็นต่างทางการเมืองทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นอดีตแกนนำ นปช. พันธมิตรฯ หรือ กปปส. กลับต้องคดีรับโทษมากมาย ทั้งที่ไม่ใช่ผู้กระทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายและทรัพย์สินเสียหายเลย ๗ ปีที่ผ่านมาจึงสูญเปล่า ทั้งที่ควรจะดำเนินการทางกฎหมายให้เกิดการปรองดองของคนในชาติ นำหลักความเป็นธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน (Transitional Justice-TJ) และความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice-RJ) มาใช้ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของคนในชาติ แต่กลับใช้กฎหมายพิเศษเข้าคุกคามประชาชนอย่างกว้างขวางจนเกิดการแตกแยก ขาดความสามัคคี เพื่อประโยชน์ในการแบ่งแยกและปกครองของตนเอง
ประการที่ ๗ ในยุคสมัยของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ใช้อำนาจเผด็จการ คุกคามประชาชนผู้เห็นต่างทางการเมืองอย่างกว้างขวาง หลังการรัฐประหาร ๗ ปีที่ผ่านมา นักกิจกรรมจำนวนมากถูกออกคำสั่งเรียกให้ไปรายงานตัว หลายคนเลือกที่จะลี้ภัยไปประเทศเพื่อนบ้านและเคลื่อนไหวทางการเมืองบนโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่ถูกอุ้มหายและคาดว่าถึงแก่ความตายไปไม่น้อยกว่า ๖ คน มีผู้ถูกผลักดันให้ลี้ภัยจากสถานการณ์ทางการเมืองและการไล่ล่ากวาดล้างที่เกิดขึ้นอย่างน้อย ๑๐๔ ราย ภายใต้ประกาศและคำสั่ง คสช. ทำให้เกิดกลุ่มประชาชนที่ตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศจำนวนหนึ่งด้วยความหวาดกลัวจากการถูกติดตามคุกคาม ซึ่งรัฐบาลเผด็จการได้แทรกแซงและใช้กระบวนการยุติธรรมแบบเลือกปฏิบัติ จนประชาชนไม่เห็นหนทางในการต่อสู้คดีให้ได้รับความเป็นธรรมภายในประเทศ รวมถึงใช้การคุกคามโดยใช้มาตรการทางกฎหมาย (Judicial Harassment and SLAPP) เพื่อฟ้องร้องปิดปากประชาชนอีกด้วย เป็นเรื่องที่น่าเศร้าแม้แต่นายกรัฐมนตรียังออกมาฟ้องร้องหมิ่นประมาทประชาชนคนธรรมดา และยังใช้วิธีการสลายการชุมนุมด้วยอาวุธและความรุนแรง ละเมิดหลักการสากลสำหรับการสลายการชุมนุม ต่อเยาวชนนิสิตนักศึกษาที่ออกมาต่อต้านรัฐบาล
ประการที่ ๘ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ยังแบ่งแยกประชาชนออกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของประเทศ โดยใช้กฎหมายมาตรา ๑๑๒ เป็นเครื่องมือคุกคามประชาชนและทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ทางอ้อม โดยไม่สนใจที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นระบบเพื่อรักษาสถานะและอำนาจของตนเองไว้ต่อไป พล.อ.ประยุทธ์ แอบอ้างการรักษาสถาบันกษัตริย์เป็นเครื่องมือ แต่กลับแยกประมุขของรัฐออกจากประชาชน และแยกประชาชนออกจากสถาบันโดยสร้างความขัดแย้งขึ้นมาเพื่อรักษาอำนาจตนเอง โดยกว่า ๗ ปีที่ผ่านมามีประชาชนถูกดำเนินคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๐๗-๑๑๒ ที่ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่ปี ๒๕๕๗-๒๕๖๓ มากกว่า ๔๗๘ คดีแล้ว
ประการที่ ๙ พล.อ.ประยุทธ์และพวก ยังได้สถาปนาระบบ “เผด็จการรัฐสภา” เสียงข้างมากโดยใช้ ส.ว.เป็นเครื่องมืออย่างเป็นระบบ ในการออกกฎหมาย แปรญัตติ และผ่านมติต่างๆ ตามความต้องการของพวกตน โดยหาได้สนใจเสียงของประชาชนไม่ ๗ ปีที่ผ่านมาพบว่า รัฐสภาของพล.อ.ประยุทธ์ ได้ปัดตกร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างน้อย ๑๑ ฉบับ ไม่ว่าจะเป็นร่างพ.ร.บ.บำนาญแห่งชาติ ร่างพ.ร.บ.การบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ๔ ฉบับ เช่น ร่างพ.ร.บ.รับราชการทหาร ที่ต้องการเปลี่ยนระบบเกณฑ์ทหารจากการบังคับไปสู่ระบบสมัครใจ หรือ ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย เป็นต้น
ประการที่ ๑๐ พล.อ.ประยุทธ์ สร้าง “ระบบเศรษฐกิจสีเทา” ขึ้นอย่างเป็นระบบ โดยใช้คนที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์สีเทาเข้ามาร่วมบริหารบ้านเมืองและรวมศูนย์อำนาจรัฐไทย โดยเฉพาะการใช้กลไกของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองทัพ สร้างเครือข่ายอิทธิพลและผลประโยชน์สีเทาเข้าไปเจือปนในระบบข้าราชการไทย ใช้การปกครองส่วนภูมิภาคบัญชาการจากส่วนกลางและสร้างปัญหาให้คนในท้องถิ่น โครงสร้างอำนาจของตำรวจไทยกลายเป็นระบบพวกพ้องและเงินตราในการหาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่และการบังคับใช้กฎหมาย แทนที่จะรักษาความปลอดภัยในชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงกองทัพที่มีทหารนอกแถวออกมาหาผลประโยชน์จากธุรกิจมืด จนกระทั่งผลพวงดังกล่าวได้ประจักษ์ชัดขึ้นจากสถานการณ์ระบาดอย่างกว้างขวางของโรคโควิด-๑๙ จากเครือข่ายธุรกิจสีเทาทั้ง ๓ รอบ โดยรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้แต่การจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินเวลา รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ที่มีอำนาจครอบจักรวาลยังแก้ปัญหาไม่ได้แต่อย่างใด
ประการที่ ๑๑ รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ละเลยการปฏิรูปการศึกษาไทยที่ล้าหลังและด้อยคุณภาพจนได้รับการจัดอันดับที่ ๘ แห่งอาเซียน แต่กลับสนับสนุนให้โรงเรียนต่างๆ ใช้ระบบอำนาจนิยมจนกระทั่งบังคับข่มขู่คุกคามนักเรียนที่เห็นต่างในสถานศึกษา โดยละเลยการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่มีนักเรียนเป็นศูนย์กลาง จนองค์ความรู้ของระบบการศึกษาไทยไม่มีคุณภาพและตามหลังสังคมโลกมาอย่างยาวนาน ขาดการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบทั้งในเชิงรูปแบบและเนื้อหา เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยให้ตอบสนองต่อสังคมและชุมชนท้องถิ่นอย่างเต็มที่ แต่กลับผลิตบัณฑิตตอบสนองกลไกตลาดแต่เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะปัญหาที่รัฐไทยได้นำมหาวิทยาลัยของรัฐเข้าสู่ระบบตลาดและแปรรูปไปเป็นของคณะบุคคล จนกลายเป็นวงจรธุรกิจการศึกษาไปในปัจจุบัน ทั้งที่ประเทศจะพัฒนาได้ต้องส่งเสริมการปฏิรูปการศึกษาและให้การศึกษาเป็นรูปแบบรัฐสวัสดิการ ส่งเสริมการศึกษาพลเมือง (Civic Education)
ประการที่ ๑๒ รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ได้สร้างโครงสร้างเศรษฐกิจของรัฐแบบ “ระบอบเศรษฐกิจทุนนิยมผูกขาดประชารัฐ” ขึ้น จนความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยกลายเป็นอันดับ ๑ ของโลก โดยเฉพาะการเอื้อประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้บรรดามหาเศรษฐี-เจ้าสัวในเมืองไทย และนักธุรกิจการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาลอยู่ โดยเฉพาะนโยบายที่เป็นผลประโยชน์ทับซ้อน สัญญาสัมปทาน โครงการร่วมทุน สัญญาจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงการลดหย่อนภาษีและส่วนต่างทางเศรษฐกิจต่างๆ จนเกิดระบอบเศรษฐกิจทุนนิยมผูกขาดประชารัฐ ขึ้นในปัจจุบัน นำประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่เหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก ช่องว่างระหว่างคนจน-คนรวย ถ่างกว้างขึ้น เกิดการแบ่งแยกความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ จนมหาเศรษฐี ๒๔ ตระกูลในประเทศไทย และคนเพียงร้อยละ ๑ ของประเทศนี้มีทรัพย์สินมากกว่าร้อยละ ๖๗ ของประเทศ โดยมูลเหตุมาจากความผิดของ พล.อ.ประยุทธ์ ในด้านการผูกขาดเศรษฐกิจและการเมือง
ประการที่ ๑๓ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศมา ๗ ปี บริหารเงินแผ่นดินไปมากกว่า ๒๐ ล้านล้านบาท ใช้งบกลางและงบลับจำนวนมหาศาล แต่เศรษฐกิจไทยหาดีขึ้นไม่ ทั้งยังได้กู้หนี้ชดเชยงบประมาณขาดดุลทุกปี ในเดือนมีนาคม ๒๕๖๔ ประเทศไทยมียอดหนี้รวม ๘.๔ ล้านล้านบาท ทำให้พอกพูนหนี้สาธารณะสูงถึงร้อยละ ๕๔.๒๘ ของจีดีพี ถ้านำกู้เงินฉุกเฉินในวงเงิน ๑ ล้านล้านบาทในปีงบประมาณ ๒๕๖๓ และ อีก ๕ แสนล้านบาทในปีงบประมาณ ๒๕๖๔ มารวมเข้า จะทำให้สัดส่วนของหนี้สาธารณะท่วมสูงทะลุเพดานกว่าร้อยละ ๖๐ ของจีดีพี ซึ่งจะทำให้เกิดความวิบัติฉิบหายทางเศรษฐกิจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเงินกู้ทั้งหมดที่กู้มาเป็นนโยบายประชานิยมเงินผันนั้น ล้วนลูกหลานคนรุ่นใหม่จะต้องแบกรับเป็นผู้ใช้หนี้แทนในอนาคตอีกยาวนาน แต่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ไม่สนใจ ทั้งยังมีความสามารถในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน หรือการกระตุ้นนวัตกรรมให้แก่ประเทศเลย ทั้งที่มีเวลาจะปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจนานถึง ๗ ปี เพื่อยกระดับการศึกษาของประชากร และการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน นอกจากนี้ การตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีก็ไม่เห็นหัวประชาชน ไม่เอาปัญหาของประชาชนเป็นศูนย์กลางแต่อย่างใด เนื่องจากพล.อ.ประยุทธ์ ต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากเงินของประชาชน การจัดสรรงบประมาณหลายแสนบาทให้กระทรวงกลาโหมและฝ่ายความมั่นคง ส่วนหนึ่งนำไปใช้ในโครงการเสริมสร้างจัดหายุทโธปกรณ์ที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์วิกฤตของประเทศ แต่ในเรื่องการจัดหาวัคซีนและด้านสาธารณสุข รัฐบาลกลับลดงบประมาณจำนวนมากลง และไม่ปรากฎการดำเนินนโยบาย โครงการสวัสดิการสังคมใดๆที่พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลายได้หาเสียงไว้กับประชาชนเลย
ประการที่ ๑๔ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ปล่อยให้มีการผูกขาดสาธารณูปโภคขันพื้นฐานเพื่อบริการสาธารณะให้ประชาชน โดยเฉพาะการให้เอกชนผูกขาดการผลิตไฟฟ้าซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา ๕๖ ที่ระบุว่า “รัฐต้องจัดหรือดําเนินการให้มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิต ของประชาชนอย่างทั่วถึงตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน โครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐอันจําเป็นต่อการดํารงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของรัฐ รัฐจะกระทําด้วยประการใดให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนหรือทําให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละ ๕๑ มิได้ การจัดหรือดําเนินการให้มีสาธารณูปโภคตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง รัฐต้องดูแลมิให้มีการเรียกเก็บค่าบริการจนเป็นภาระแก่ประชาชนเกินสมควร” แต่รัฐบาลกลับปล่อยให้มีการแสวงหากำไรจากค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นและไร้การควบคุม โดยเฉพาะการให้กลุ่มทุนพลังงานเอกชน ได้รับสัมปทานการผลิตไฟฟ้ากว่า ๒๐ ปี โดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม มีการลดสัดส่วนการผลิตของรัฐลง เพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตให้ภาคเอกชน นอกจากนั้นยังมีการประกันรายได้ในการรับซื้อขายอีกด้วย ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนได้กำไรจากสาธารณูปโภคพื้นฐานโดยตรง แม้ว่าเศรษฐกิจจะฝืดเคือง ประชาชนทุกข์ยากลำบาก แต่กำไรค่าไฟฟ้ามั่นคงนิรันดรเพราะผูกขาดกอบโกยกำไรจากประชาชนที่ไร้หนทางอยู่ทุกเดือน
ประการที่ ๑๕ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ยังปล่อยให้มีการผูกขาดตลาดค้าปลีกและตลาดภาคการเกษตรทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ส่งเสริมเศรษฐกิจผูกขาดอย่างเป็นระบบ โดยไม่บังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.๒๕๖๐ อย่างเคร่งครัดและอย่างมีประสิทธิภาพ ต่อการกระทำที่เข้าข่ายผูกขาดตลาดหรือครอบงำตลาดเกินกึ่งหนึ่งของบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศซึ่งพบว่ายังมีอยู่จำนวนมากในระบบตลาดการค้าไทย โดยเฉพาะธุรกิจการค้าปลีกของกลุ่มบริษัทซีพีออลล์ (CP ALL) ซึ่งเป็นผู้นำตลาดอุปโภคและบริโภคในประเทศไทยกว่าร้อยละ ๖๗.๙ และเทสโก้โลตัส (Tesco Lotus) อีกกว่าร้อยละ ๑๖.๐๗ ซึ่งคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าได้อนุญาตให้ทั้งคู่ควบรวมบริษัท ซึ่งทำให้มีมูลค่าส่วนแบ่งในตลาดสูงถึงกว่าร้อยละ ๘๓.๙๗ เป็นการผูกขาดตลาดของไทยอย่างเบ็ดเสร็จ โดยไม่มีมาตรการต่อต้านการผูกขาดและควบคุมการค้ากำไรจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ นอกจากนั้น รัฐบาลยังเพิกเฉยต่อการเอาเปรียบขูดรีดประชาชนจากสถาบันทางการเมืองและธนาคาร จากส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝากที่สูงมากใน ๗ ปีที่ผ่านมา ทั้งในสถานการณ์วิกฤตโควิด-๑๙ รัฐบาลก็ยังไม่มีมาตรการด้านภาษีและดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะการพักชำระหนี้ชั่วคราวกับสถาบันทางการเงินต่างๆ ยุติการเก็บเงินต้นและหยุดคิดดอกเบี้ยเงินกู้ชั่วคราว
ประการที่ ๑๖ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ใช้นโยบายสุ่มเสี่ยงขายชาติ-ขายแผ่นดิน โดยการให้ที่ดินแก่ต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์เพื่อส่งเสริมการลงทุน (BOI.) เป็นจำนวนมหาศาลโดยไม่เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ทั้งยังพยายามผลักดันกฎหมายข้อมูลข่าวสารฉบับใหม่ปิดปากประชาชน รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนแก่กลุ่มทุนเอกชนต่างๆ ที่มั่งคั่งอยู่แล้วโดยไม่รู้จบ รวมถึงโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC.) การที่รัฐบาลอนุญาตให้กรรมสิทธิ์ที่ดินแก่บริษัทต่างชาติ ๙๙ ปี ในเขตพัฒนาพิเศษ และการให้สิทธิประโยชน์แก่กลุ่มทุนขนาดใหญ่โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI.) นั้น จะต้องมีการเปิดเผยข้อมูลการขายที่ดินให้ต่างชาติถือครองแก่สาธารณะ ว่าอนุญาตไปกี่ไร่ และกี่บริษัทแล้ว หากเป็นไปโดยการทุจริตเชิงนโยบาย เอื้อประโยชน์พวกพ้องในวงการการเมืองที่ซื้อหายเก็งกำไรที่ดินและปล่อยขายต่างชาติอย่างเป็นระบบ ถือเป็นการทรยศประเทศไทยและขายชาติขายแผ่นดินอย่างเป็นชัดเจน
ประการที่ ๑๗ รัฐบาลใช้สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-๑๙ และความทุกข์ยากของประชาชนเป็นเครื่องมือกระชับอำนาจ และผูกขาดอำนาจครอบจักรวาลตาม พรก.ฉุกเฉินฯ ทอดยาวต่อไป ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ลงนามในประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-๑๙ มาตั้งแต่วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๓ บัดนี้เป็นเวลา ๑ ปี ๒ เดือน ๒๐ วันแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะยกเลิกการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งไม่ได้ช่วยให้เกิดการยับยั้งโรคติดต่อมากขึ้นแต่อย่างใด ตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับมากขึ้นสวนทางการใช้อำนาจพิเศษของนายกรัฐมนตรี และสวนทางกับมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลใช้มาตรการควบคุมปิดร้านค้า ร้านอาหารและสถานประกอบการในช่วงที่ผ่านมา แต่ทั้งหมดกลับโยนความผิดให้แก่ประชาชนทุกครั้งไป นอกจากนี้การจัดหาวัคซีนให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนกลับถูกคอร์รัปชั่นเวลาออกไปเรื่อยๆ เพื่อหากินบนความตายของประชาชนและรักษาอำนาจรวมศูนย์ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไป เพื่อไม่ให้ประชาชนฟ้องร้องต่อพล.อ.ประยุทธ์ และพวก ตามกฎหมายที่รอนสิทธิ์ดังกล่าว
ทั้งนี้ การใช้อำนาจโดยมิชอบของรัฐบาล และการใช้อำนาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงก็เพื่อต้องการแก้ไขปัญหาการชุมนุมทางการเมือง อันมีสาเหตุมาจากวิกฤตศรัทธาต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลเอง มิใช่โรคระบาดโควิด-๑๙ การใช้อำนาจพิเศษที่เหนือกว่าอำนาจทางปกครองปกติยังเป็นการละเมิดสิทธิพลเมืองโดยตรง ทั้งหมดจึงเป็นเพียงการกระชับอำนาจ ของนายกรัฐมนตรีเท่านั้นภายหลังมีข้อเรียกร้องให้ลาออกเพื่อรับผิดชอบปัญหาความขัดแย้งที่ตนเองสร้างขึ้น
คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย จึงเรียนมายังคณะรัฐมนตรีทั้งหลาย เพื่อรับทราบเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะ และบันทึกความล้มเหลวของ พล.อ.ประยุทธ์และพวก ที่มีท่านเป็นผู้มีส่วนกระทำความเสียหายให้แก่บ้านเมืองอย่างชัดเจน และขอเรียกร้องให้พวกท่าน ลาออกจากตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี เพื่อร่วมกันรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
(นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์)
ในนามตัวแทน คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย
(นายจตุพร พรหมพันธ์)
ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
(นายเมธา มาสขาว)
เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |