'คลัง'ตอกกลับนักวิจารณ์ยันเยียวยาเหมาะสมทุกกลุ่ม แจงยิบบัตรคนจนรับชดเชยกว่า 11,800บาท/คน


เพิ่มเพื่อน    

 

15 มิ.ย. 2564 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ชี้แจงกรณีที่มีข้อวิจารณ์มาตรการเยียวยาประชาชนว่าคนที่เดือดร้อนมากหรือคนยากจนได้รับเงินช่วยเหลือน้อยกว่าคนที่เดือดร้อนน้อยหรือคนไม่ยากจน ว่า โครงการของรัฐบาลถูกออกแบบมาด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ทั้งเพื่อการบรรเทาภาระค่าครองชีพ และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้กลุ่มเป้าหมาย และวิธีการสนับสนุนมีความแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา การให้สวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งครอบคลุมประชากร จำนวนกว่า 13.65 ล้านคน โดยเริ่มมีการให้สวัสดิการตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งแบ่งเป็นสวัสดิการหลัก ได้แก่ บรรเทาค่าครองชีพ วงเงินสิทธิค่าอุปโภค/บริโภค จำนวน 200 บาท/คน จำนวนประมาณ 3.6 ล้านคน และ 300 บาท/คน จำนวนประมาณ 10 ล้านคน, บรรเทาค่าเดินทาง ได้แก่ ค่ารถเมล์ รถไฟฟ้า 500 บาท/คน/เดือน, ค่า บขส. 500 บาท/คน/เดือน, ค่ารถไฟ 500 บาท/คน/เดือน, ค่าก๊าซหุงต้ม 45 บาท/คน/3 เดือน, ค่าประปา 100 บาท/ครัวเรือน/เดือน, ค่าไฟฟ้า 230 บาท/ครัวเรือน/เดือน และสวัสดิการอื่น ๆ อาทิ ค่าใช้จ่ายปลายปี 2561 จำนวน 500 บาท ค่าใช้จ่ายปลายปี 2562 สำหรับผู้สูงอายุเกิน 60 ปี จำนวน 500 บาท สำหรับผู้มีบุตร จำนวน 300 บาท สำหรับคนพิการ จำนวน 200 บาท ผ่านช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) โดยรวมแล้วผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะได้รับความช่วยเหลือสวัสดิการหลักกว่า 2,000 บาทต่อเดือน

นอกจากนี้ ในการเยียวยาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้มีการเพิ่มเติมวงเงิน (Top up) ค่าอุปโภคบริโภคอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยตลอดช่วงการระบาดของโควิด-19 เริ่มจากปี 2563 ถึงปัจจุบัน มีการเพิ่มวงเงินสิทธิให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้แก่ ตั้งแต่ต.ค. 2563-มี.ค. 2564 โดยเพิ่มให้ 500 บาทต่อคน ระยะเวลา 6 เดือน รวมเป็นวงเงินสิทธิ 3,000 บาทต่อคน ภายใต้โครงการเพิ่มกำลังซื้อระยะที่ 1 และ 2 และช่วง ก.พ. 2564เป็นต้นมาเพิ่มเติมสิทธิวงเงินอีก 7,400/7,600 บาท ต่อคน ภายใต้โครงการเราชนะ ซึ่งสามารถใช้จ่ายได้ถึง มิ.ย. 2564

สำหรับมาตรการลดภาระค่าครองชีพของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในโครงการเพิ่มกำลังซื้อ ระยะที่ 3 ที่กำลังจะเริ่มในเดือน ก.ค. 2564 เป็นการเพิ่มสิทธิวงเงินจำนวน 200 บาทต่อคน ระยะเวลา 6 เดือน รวม 1,200 บาทต่อคน สามารถนำไปใช้จ่ายได้ที่ร้านค้าธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 โดยไม่มีเงื่อนไขที่ประชาชนจะต้องใช้จ่ายเงินของตัวเองเพื่อให้ได้รับสิทธิ

“ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะได้รับความช่วยเหลือเยียวยาเพิ่มเติมจากรัฐในช่วงการระบาดของโควิด-19 รวมเป็นเงินกว่า 11,600/11,800 บาทต่อคน” นางสาวกุลยา กล่าว

ส่วนโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศผ่านผู้มีกำลังซื้อ ไม่เกิน 4 ล้านคน ซึ่งประชาชนที่เข้าร่วมโครงการจะต้องมีการเติมเงินของตัวเองเข้า g-wallet ก่อน เพื่อไปใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการซึ่งจะต้องเป็นผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงจะได้รับวงเงินสนับสนุนในรูปของบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher) และการที่จะได้รับ e-Voucher สูงสุดจำนวน 7,000 บาทต่อคน ประชาชนต้องมีการใช้จ่ายเงินตัวเองเป็นจำนวน 60,000 บาทต่อคน ในระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย. 2564 ซึ่งหากมีการใช้จ่ายจริง 1-40,000 บาทแรก ก็จะได้รับ e-Voucher คืน 10% หรือไม่เกิน 4,000 บาทต่อคน หรือ 40,001-60,000 บาท ก็จะได้รับ e-Voucher คืน 15% หรือไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน และต้องใช้จ่าย e-Voucher ที่ได้รับภายในเดือน ธ.ค. นี้ โดยไม่สามารถแลกเป็นเงินสดได้

อย่างไรก็ดี หากประชาชนที่เข้าร่วมโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้จำนวน 4 ล้านคน ใช้จ่ายเต็มสิทธิ จะส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ จำนวน 240,000 ล้านบาท และเมื่อประชาชนมีการนำ e-Voucher กลับมาใช้ก็จะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มอีก 28,000 ล้านบาท รวมเป็น 268,000 ล้านบาท
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"