ชนใดไม่มีดนตรีกาลในสันดานเป็นคนชอบกลนัก


เพิ่มเพื่อน    

 

                                                                                                        (1)

            เท่าที่สังเกต... เพลง ยุคเก่าๆ นั้น ไม่ว่าจะลูกทุ่ง ลูกกรุง มักต้องมีฉากแห่งธรรมชาติ หรือองค์ประกอบทางธรรมชาติ เข้าไปเกี่ยวข้อง พัวพัน โยงใย กับเนื้อร้อง  ทำนองเพลง ในแต่ละเพลงอย่างชนิดแยกไม่ออก ตัดไม่ได้-ขายไม่ขาด เอาเลยก็ว่าได้ แค่คิดจะตัดพ้อ ต่อว่า คนรัก-คนไม่รัก ยังหนีไม่พ้นต้อง... “สุริยัน-จันทรา...ที่จากฟ้ายังมีเวลามาเยือน...แต่ใจเธอซิแชเชือน...ไม่กลับมาเยือนเหมือนสุริยัน-จันทรา”...

                                                                             (2)

            นี่...เรียกว่า ถึงขั้นต้องไปลากเอา พระอาทิตย์-พระจันทร์ เข้ามาเป็นดัชนีอ้างอิง เป็นเรเฟอเรนซ์ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ และคงไม่ใช่แต่เฉพาะพระอาทิตย์-พระจันทร์เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นดวงดาว ท้องฟ้า ท้องทะเล  ภูเขา ต้นไม้ แม่น้ำ ลำคลอง ห้วยหนอง คลองบึง แม้แต่สายลมรำเพย แสงแดดแผดกล้า ฝนฟ้าในลักษณะใดๆ ก็ตามที ฯลฯ ต่างถูกลากมาเกี่ยว มาโยง กับ อารมณ์-ความรู้สึกของผู้ร้อง ผู้แต่ง ผู้เรียบเรียงเสียงประสาน กันไปเสมอๆ ธรรมชาติ กับ บทเพลง-เสียงเพลง จึงแทบกลายเป็น คนละเรื่องเดียวกัน ไปเลยก็ว่าได้...

                                                                                                            (3)

            แถมบางครั้ง บางครา...ไม่ใช่เป็นแค่ฉาก เป็นแค่องค์ประกอบ เท่านั้น แต่อาจกลายเป็นเรื่องหลัก จนเรื่องรักๆ-ใคร่ๆ ตามลักษณะโดยทั่วไปของบทเพลง เสียงเพลง  กลายเป็นแค่เรื่องรอง เอาเลยก็ยังมี อย่างเช่นในช่วงที่คุณทวด วินัย จุลละบุษปะ ต้องไปนั่งเหม่อไป-เหม่อมา อยู่ริมทะเลเพียงลำพังตัวคนเดียว แล้วต้องเจอกับกระแสคลื่นฟาดไป-ฟาดมา จนอดไม่ได้ที่จะต้องเปล่งเสียงอุทาน หรือเสียงครวญๆ ครางๆ ออกมาว่า... “ทุ่มตัวเอง-ฟาดฝั่ง-คลุ้มคลั่งในกมล-คงจะมีทุกข์ทน-และหมองไหม้-ฟาดตัวเอง-อยู่ทำไม-กลุ้มอะไรหนักหนา-หรือทะเลเป็นบ้า-ผวาหวาดไหว-ฟังแล้วยังกลุ้มใจ-พาอาลัยอาวรณ์” เรียกว่า...ระหว่าง อารมณ์-ความรู้สึก ของคนกับทะเล ดันกลายเป็น คนละเรื่องเดียวกัน ไปจนได้...

                                                                                                            (4)

            หรือแม้จะต้องรักๆ-ใคร่ๆ ตามแบบฉบับบทเพลง เสียงเพลง โดยทั่วไป...แต่สำหรับคุณป้า สุพรรณี ปิยสิรานนท์ ที่แอบไป นัดพบ กับใครก็ไม่รู้??? ท่ามกลาง “ใต้ร่มไม้ใบบางบาง-แสงสว่างรำไรรำไร-ไม่ต้องระวังไม่ต้องระไว-จะอายทำไมกับพระจันทร์” แต่สุดท้าย...ยังอดสรุปเอาไว้ไม่ได้ว่า... “นี่แหละที่นัดพบ-แต่เราไม่พบกับใคร-เพียงแต่พบกับธรรมชาติ-แล้วเราก็อาจจะสุขใจ-ไม่ต้องไปพบกับใคร-ที่ไหน-เพลินใจ-เพลินตา” พูดง่ายๆ ว่า...ไม่ต้องเสียเวลารักๆ-ใคร่ๆ ให้มากเรื่อง มากความ แค่เข้าถึง-เข้าใจ ต่อความเป็นไปทางธรรมชาติ ก็พอแล้ว...

                                                                                                            (5)

            ดังนั้น...ในช่วง หน้าฝน ที่กำลังใกล้จะมาถึง ถ้าไม่อยากให้หงุดหงิด งุ่นง่าน จนเกินไป น่าจะลองไปหยิบเอาบทเพลงเก่าๆ ไปโหลด หรือไปคว้าเอามาด้วยวิธีไหนก็แล้วแต่ มาเตรียมเปิดฟังเอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ โดยเพลงที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติอย่างสายฝน ก็มีอยู่ชนิดเยอะแยะตาแป๊ะไก๋ ไม่ว่าจะเป็นลูกกรุง ลูกทุ่ง หรือแม้แต่เพลงฝรั่งเก่าๆ ก็เถอะ แทบไม่ได้มีอะไรผิดแผกแตกต่าง กันไปซักกี่มาก-น้อย คือต่างหนีไม่พ้นต้องมี ธรรมชาติ เป็นฉาก เป็นองค์ประกอบ หรือไม่ก็เป็นด้านหลักเอาเลยก็ว่าได้ และด้วยความสอดคล้อง กลมกลืน ระหว่าง ธรรมชาติ กับอารมณ์-ความรู้สึกแห่ง ความเป็นมนุษย์ นั่นเอง ที่อาจพอช่วยให้ความหงุดหงิด งุ่นง่าน ใดๆ ก็ตาม อาจพอได้บรรเทา เบาบาง ลดน้อยถอยลงไปตามลำดับ...

                                                                                                (6)

            เพลง ฝนจ๋าฝน ของ สุนทราภรณ์ ก็น่าจะเข้าท่าอยู่ไม่น้อย แม้ว่าโดยสุ้มเสียงของคุณป้า ศรีสุดา ท่านออกจะแหลมอยู่นิด หรือถ้าจะให้ออกไปทาง เซ็กซี่ อยู่มั่ง เพลง ฝนหนาวสาวครวญ เวอร์ชันใหม่ ที่คุณน้อง สุนารี ราชสีมา นำเอาเพลงของคุณป้า ผ่องศรี วรนุช กลับมาปัดฝุ่นอีกเที่ยว ก็พอช่วยให้เกิดความโรมันคาทอลิกอยู่พอสมควร หรือประเภทพวกคอฝรั่ง พวกชอบฟุด-ฟิด-ฟอ-ไฟ อยู่บ้างพอเป็นกระสาย ลองไปหยิบเอาเพลง Rain ของ Jose Feliciano มาเปิดในช่วงฝนฟ้ากำลังกระหึ่มๆ ก็อาจพอได้อาศัย ธรรมชาติ ช่วยชำระล้างความขุ่น ความมัว ภายในอารมณ์-ความรู้สึกได้มั่ง ไม่ว่ามากหรือน้อย ไปตามสภาพ...

                                                                                                            (7)       

            แต่อย่าเผลอไปฟังบทเพลง เสียงเพลง ของประดา  คนรุ่นใหม่ โดยเด็ดขาด!!! ที่ไม่เพียงแต่ตัดขาด แยกขาด ตัวเองออกไปจาก ธรรมชาติ ยังหนักไปทางหมกมุ่น มัวเมา อยู่กับ “ตัวกู-ของกู” แบบไม่คิดจะสนใจอะไรอื่นเอาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะโหยหวน ครวญคราง กันไปในลักษณะใดก็แล้วแต่ แต่โดย สภาพแวดล้อม ที่ทำให้บรรดาคนเหล่านี้เกิดและเติบโต คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า มันหนักไปทางเครื่องยนต์กลไก เครื่องจักรกล หรือเทคโนโลยีทั้งหลาย นั่นแหละเป็นหลัก ถ้าลองดันไปเงี่ยหูฟังมากมายจนเกินไป โอกาสที่จะก่อให้เกิดอาการวูบๆ ไหวๆ วิบๆ หวิวๆ เกิดอาการโกรธ เกลียด เคียดแค้น พยาบาท อาฆาต ริษยาและชิงชัง พร้อมที่จะด่า จะว่า กล่าวโทษ กล่าวประณาม ใครต่อใครแบบหยาบๆ-คายๆ  ย่อมมีความเป็นไปได้เสมอๆ เหมือนดังที่กำลังปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด อยู่ในโลกของคนรุ่นใหม่ หรือ โลกโซเชียล มีเดีย ทั้งหลาย นั่นแล...

                                                           ---------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"