ความจริงเรื่องปืนสงครามที่หายไป 28 กระบอก ซึ่งเป็นของกองร้อยอาสาสมัครรักษาดินแดน อ.เมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส และอีก 9 กระบอก ที่เป็นของกองร้อยอาสาสมัครรักษาดินแดนอีก 5 อำเภอของ จ.นราธิวาส ที่รวมแล้ว 37 กระบอก ผู้ที่ควรออกมาตรวจสอบอย่างเข้มข้นควรจะเป็นกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปืนที่หาย
และโดยข้อเท็จจริง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ต้องสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ตรวจการกระทรวง ดำเนินการตรวจสอบอาวุธปืนที่อยู่ในมือของ อส.ในทุกอำเภอ ใน 3 จังหวัด คือ ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ว่ายังอยู่ครบถ้วนตามบัญชีหรือไม่
เพราะถ้ามีการเรียกตรวจสอบอย่างจริงจัง อาจจะพบว่าปัญหาที่เกิดกับกองร้อยอาสาสมัครรักษาดินแดน อ.เมืองนราธิวาส อาจจะเกิดกับจังหวัดอื่นๆ และอาจจะมีการสูญหายของอาวุธปืนสงครามมากกว่าที่กองร้อยอาสาสมัครรักษาดินแดน อ.เมืองนราธิวาส ก็เป็นไปได้
แต่...เป็นเรื่องแปลกที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ที่มี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นรัฐมนตรี กลับไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องปืนสงครามที่อยู่ในการดูแลของฝ่ายปกครองเท่าที่ควร เพราะแม้แต่ผลการสอบสวน เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่เกี่ยวข้องกับการหายไปของอาวุธปืนสงครามก็ไม่มีการกระตือรือร้นในการหาผู้กระทำความผิดหรือบกพร่องต่อหน้าที่เพื่อบอกให้ประชาชนได้รับทราบ
ทั้งที่ผลการสอบสวนของพนักงานสอบสวนระบุชัดว่า ปืน 28 กระบอก ที่หายไปและถูกเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจยึดกลับมาได้ 8 กระบอก อีก 20 กระบอก ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หายเมื่อไหร่ หายอย่างไร และที่สำคัญยิ่งบอกว่าหายไปนานแล้ว ยิ่งต้องถามต่อว่า แล้ว อส.ที่อยู่ประจำกองร้อยอาสาสมัครรักษาดินแดน อ.เมืองนราธิวาส เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ในการ รปภ.โดยไม่มีอาวุธประจำกายอย่างนั้นหรือ
เรื่องนี้เป็นข้อพิรุธที่ชวนสงสัยว่า ปืนสงครามที่เป็น ปืนหลวง ของกองร้อยอาสาสมัครรักษาดินแดน อ.เมืองนราธิวาส ที่หายไปครั้งนี้ ต้องมีเจ้าหน้าที่หลายคนรู้เห็น ไม่ใช่เป็นเรื่องของ อส.อย่างนายฮาซัน สาแม ที่ถูกจับกุมเพียงคนเดียวอย่างแน่นอน
กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ไม่มีเสียงสักแอะในเรื่องปืนสงครามกองร้อยที่หายไป 20 กระบอก เหมือนกับว่าปืนที่หายไปครั้งนี้เป็น ปืนเด็กเล่น อย่างไรก็อย่างนั้น
ทั้งที่สถานการณ์ในพื้นที่ยังมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีเรื่องของ โควิด-19 เข้ามาแทรกเป็น ยาดำ แต่ แนวร่วม หรือ โจรใต้ ยังสามารถก่อเหตุในพื้นที่ จ.ปัตตานี, นราธิวาส ได้เป็นระยะๆ ล่าสุดเพิ่งจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ อส.ทพ.ที่ พลีชีพ ในการปฏิบัติหน้าที่ ที่วัดสุคิรินประชาราม อ.สุคิริน จ.นราธิวาส อย่างสมเกียรติ โดยมี พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.เป็นประธาน
และมีการเผากล้องวงจรปิดในพื้นที่ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ไปถึง 6 จุดในคืนเดียว ซึ่งเจ้าหน้าที่ทำได้เพียงการจับ แนวร่วม ปลายแถวในหมู่บ้าน ไปทำการสอบสวน เพื่อหาจุด เชื่อมโยง แต่ไปไม่ถึง ผู้ปฏิบัติการ และผู้ สั่งการ แต่อย่างใด
ในขณะที่ เพจเถื่อน และช่องทางของ โซเชียลมีเดีย ของปีกทางการเมืองของขบวนการบีอาร์เอ็นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังทำหน้าที่โจมตี บิดเบือน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยการใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนแก่มวลชนอย่างเต็มที่เพิ่มมากขึ้น โดยหน่วยงานความมั่นคงไม่สามารถที่จะดำเนินการอะไรได้เลย แม้แต่การ ตอบโต้ การบิดเบือนของฝ่ายบีอาร์เอ็น ก็กลับถูกมองว่าเป็นการ แก้ตัว และก็ยังไม่เห็นแผนของฝ่ายความมั่นคงว่าจะ จัดการ อย่างไรกับปัญหานี้
ล่าสุด แกนนำ บีอาร์เอ็นได้สั่งการให้ แนวร่วม ในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ทำการตรวจสอบและรายงานจำนวนกล้อง ซีซีทีวี ในพื้นที่ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ อยู่ตรงไหน และให้แจ้งเตือนชาวบ้านว่าอย่าให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ในเรื่องการติดตั้งกล้อง ซีซีทีวี พร้อมทั้งเผาให้ดูเป็นตัวอย่าง
และยังมีการสั่งการให้ แนวร่วม ในพื้นที่สร้าง มวลชน หมู่บ้านละ 5 หลังคาเรือน รวมทั้งให้มีการก่อเหตุตามสถานการณ์เล็กๆ น้อยๆ ตามแต่ โอกาสมี ทางหนีพร้อม เพื่อก่อกวนให้กำลังของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง อยู่ไม่สุข ต้องเสียเวลา เสียกำลังพล ในการเล่น ซ่อนหา แบบ แมวจับหนู ซึ่งเป็นเกมถนัดของ บีอาร์เอ็น
และเป็นการ ยั่วยุ ให้เจ้าของบ้าน โมโหโกรธา ใช้กำลังและความรุนแรงเข้าจัดการ จับหนู ในบ้าน จนข้าวของพัง ระเนนระนาด หมายถึงไล่ล่า ปิดล้อม ตรวจค้น จน เข้าทาง ของบีอาร์เอ็น ที่ต้องการเห็นความไม่พอใจของชาวบ้าน และเป็นโอกาสให้ เพจผี หรือ โซเชียล เถื่อนของปีกทางการเมืองของบีอาร์เอ็น ใช้เป็น เงื่อนไข ในการโจมตีการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร ตำรวจ และกองกำลังท้องถิ่น
วันนี้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาสังคมที่เป็น ปีกการเมือง ในพื้นที่ ตัวแทนที่อยู่ในองค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และตัวแทนในสภาผู้แทนของบีอาร์เอ็น มีการทำหน้าที่ สอดผสาน กันอย่างเข้มข้น
แม้แต่เรื่อง รั้วกั้นเขตแดน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับความมั่นคงของประเทศใน จ.นราธิวาส ก็ยังมีความพยายามที่จะ สกัดกั้น โดยอ้างเอาเรื่องของ วิถีชีวิต ที่มีมานับร้อยๆ ปีของคนในพื้นที่ในการเดินข้ามคลอง ข้ามเขา ไปมาหาสู่กันได้ มาเป็น เงื่อนไข เพื่อล้มการก่อสร้างรั้วกั้นชายแดนของทั้งสองประเทศ
เพราะบีอาร์เอ็นเข้าใจดีว่า ถ้ามีการกั้นรั้วตลอดแนวชายแดนด้าน จ.นราธิวาสได้จริงเมื่อไหร่ จะกลายเป็นปัญหาอุปสรรคในการส่งกำลังบำรุง ทั้ง ยุทธภัณฑ์ กำลังพล การเข้าโจมตี การหลบหนีหลังการโจมตี การส่งคนเจ็บจากการ สู้รบ ไปยังฝั่งมาเลเซียในหมู่บ้าน จัดตั้ง ริมชายแดนในรัฐ กลันตัน ทำได้ยากขึ้น และหากหน่วยงานความมั่นคงปฏิบัติการอย่างจริงจังกับ เป้าหมาย ในพื้นที่ที่เป็น แกนนำ และ แนวร่วม จะทำให้ปฏิบัติการทางการ ทหาร ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นวันนี้ปีก การเมือง ของบีอาร์เอ็นทุก องคาพยพ จึงประสานเสียง ประสานกายอย่างเต็มที่ เพื่อมิให้มีการสร้างรั้วกั้นชายแดน และเรื่องนี้นอกจากเป็นการช่วยปกป้องบีอาร์เอ็นแล้ว ยังอาจจะมี นัย จากกลุ่มผลประโยชน์การค้า ของเถื่อน ทั้ง ยาเสพติด และอื่นๆ แฝงอยู่ด้วยก็ได้
ในขณะที่องค์กรต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เจนีวาคอล และ ไอซีอาร์ซี ก็ ดิ้นรน อย่างสุดแรงเพื่อ ปักธง ในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา โดยที่ไม่ ถอนสมอ ออกจากพื้นที่ แต่ก็ยังโชคดีที่แผนการต่างๆ ของ ไอซีอาร์ซี ถูก พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ที่มองเห็นชัดถึง ภยันตราย จากองค์กรชาติ ตะวันตก ด้วยการ เหยียบเบรก จนทำให้ นายพล ที่เป็น ที่ปรึกษา ของ ไอซีอาร์ซี โมโหโกรธา ซึ่งนับเป็นโชคดีของประเทศไทยที่ยังมีบุคคลที่เห็นประโยชน์ของประเทศ
แต่...เชื่อเถอะ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล เจนีวาคอล และ ไอซีอาร์ซี จะไม่หยุดเพียงแค่นี้ ส่วนจะมีแผนการอย่างไรนั้น หน่วยงานความมั่นคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หลงกลฝรั่งเมื่อไหร่ แผ่นดินใต้จะลุกเป็นไฟ และ ไฟใต้ จะรุนแรงกว่าเดิม.
เมือง ไม้ขม รายงาน
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |