หอการค้าไทยเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ค.64 ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติศาสตร์ในรอบ 22 ปี 8 เดือน กังวลพิษโควิดรอบ 3-กระจายวัคซีนไม่แน่นอน-การเมืองมีเสถียรภาพน้อยลง คาดจะปรับตัวในเดือน มิ.ย.หลังปูพรมฉีดวัคซีนทั่วประเทศ กระตุ้น ศก.ภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้าน หวังจีดีดีโตกว่า 2%
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ค.อยู่ที่ 44.7 จากเดือน เม.ย.64 ซึ่งอยู่ที่ 46.0 โดยดัชนีลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 38.9 จาก 40.3 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ อยู่ที่ 41.3 จาก 42.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 53.9 จาก 54.7
ปัจจัยลบสำคัญ ได้แก่ ความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตต่อประชาชนและภาคธุรกิจ, การกระจายวัคซีนโควิด-19 ที่ยังไม่แน่อน, สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผย GDP ไตรมาส 1/64 ติดลบ 2.6% และปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 64 เหลือโต 1.5-2.5%, ราคาน้ำมันในประเทศปรับเพิ่มขึ้น, ความกังวลเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ, กังวลภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้รายได้ไม่สอคล้องค่าครองชีพ, เงินบาทแข็งค่า
ขณะที่ปัจจัยบวก ได้แก่ รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยฟื้นเศรษฐกิจในประเทศ, การฉีดวัคซีนในประเทศเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น, คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5%, การส่งออกเดือน เม.ย. ขยายตัว 13%, ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน พ.ค.64 ถือว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 22 ปี 8 เดือน นับตั้งแต่เริ่มทำการสำรวจในเดือน ต.ค.41 เป็นต้นมา เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในประเทศรอบที่ 3
ประกอบกับความกังวลในสถานการณ์ทางการเมืองที่มีเสถียรภาพน้อยลง และการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนที่ล่าช้า ส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมากนัก และขาดแรงกระตุ้นในการฟื้นตัว แม้ว่ามาตรการของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการ "เราชนะ" และโครงการต่างๆ จะมีส่วนช่วยกระตุ้นกำลังซื้อให้ปรับตัวดีขึ้นทั่วประเทศในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม
"ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เห็นสัญญาณการซื้อสินค้า การท่องเที่ยวที่มีการชะงัก การจับจ่ายใช้สอยน้อยลง ซึ่งการระบาดของโควิดส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค การล็อกดาวน์บางธุรกิจมีผลต่อภาพรวมการใช้จ่ายและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค" นายธนวรรธน์กล่าว
ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจคาดว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคน่าจะเริ่มปรับตัวขึ้นในเดือน มิ.ย. หลังจากที่เริ่มมีปฏิบัติการปูพรมฉีดวัคซีนต้านโควิดกันทั่วประเทศในเดือนนี้ แม้ปริมาณวัคซีนอาจจะมีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน แต่การฉีดวัคซีนก็ดำเนินการเป็นวงกว้าง และมีแผนการฉีดวัคซีนที่เป็นรูปธรรม ในขณะที่กำลังจะมีวัคซีนทางเลือกยี่ห้ออื่นๆ เข้ามาในประเทศมากขึ้น เพิ่มเติมจากวัคซีนยี่ห้อหลักที่ใช้ในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยที่บั่นทอนความเชื่อมั่นผู้บริโภคในระยะกลาง คือ สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ซึ่งผู้บริโภคมีความกังวลว่าสถานการณ์จะไม่นิ่ง การอภิปรายต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาจจะส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองได้
"สถานการณ์ตอนนี้ คนมีความกังวลเงินในกระเป๋า และได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบโควิด แต่หากการเมืองยังมีเสถียรภาพ ก็คาดว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะเริ่มดีขึ้นได้หลังจากนี้" นายธนวรรธน์กล่าว
นายธนวรรธน์กล่าวด้วยว่า หากการฉีดวัคซีนโควิดในประเทศทำได้มากขึ้นในเดือน มิ.ย., ก.ค.นี้ ประกอบกับรัฐบาลยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 3 นี้ ภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท รวมถึงการดำเนินการตามแผน Phuket Sandbox และการส่งออกไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ก็คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโต 2% เป็นอย่างน้อย และคาดว่าการส่งออกไทยในปีนี้จะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 7% และหากสามารถรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ราว 31 บาท/ดอลลาร์สหรัฐได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกที่จะเป็นตัวช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยในปีนี้ได้ไวขึ้น เพราะมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นทุก 1% จะทำให้มีเม็ดเงินสะพัดเพิ่มขึ้น 6-8 แสนล้านบาท.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |