รัฐบาลเดินหน้าจัดระเบียบพื้นที่ริมคลองลาดพร้าว เร่งสร้างเขื่อนระบายน้ำคลองลาดพร้าวเพื่อป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ –สร้างบ้านประชารัฐรองรับประชาชนที่รุกล้ำลำคลอง ‘เสธ.ไก่อู’ ควง ‘สกลธี’ รองผู้ว่า กทม. และผู้บริหาร พอช. ฯลฯ จัดกิจกรรม On Ground สร้างความเข้าใจกับพี่น้องริมคลองลาดพร้าว ขณะที่การสร้างเขื่อนฯ คืบหน้า 35.15 % สร้างบ้านแล้ว 29 ชุมชน รวม 2,656 ครัวเรือน
จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2554 ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการระบายน้ำในคลองสายหลักในเขตกรุงเทพฯ ไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีบ้านเรือนปลูกสร้างรุกล้ำลงไปในคลองเป็นจำนวนมาก รัฐบาลจึงมีนโยบายจัดระเบียบสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำสาธารณะ เริ่มที่คลองลาดพร้าวเป็นแห่งแรก โดยมอบหมายให้กรุงเทพมหานครรับผิดชอบการสร้างเขื่อนระบายน้ำคอนกรีตเพื่อป้องกันน้ำท่วมในคลองลาดพร้าว ระยะทาง (ทั้งสองฝั่ง) 45.3 กิโลเมตร ความกว้างของแนวเขื่อนเฉลี่ย 38 เมตร และขุดลอกคลองให้ลึกกว่าเดิม 4 เมตร มีเป้าหมายแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2562
ขณะที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ จัดทำแผนงานรองรับชาวชุมชนที่ปลูกสร้างบ้านเรือนรุกล้ำที่ดินราชพัสดุและรุกล้ำคลองลาดพร้าว ตามแผนงาน ‘บ้านประชารัฐริมคลองลาดพร้าว’ โดยรื้อย้ายบ้านออกจากพื้นที่ริมคลองเพื่อสร้างบ้านใหม่ รวมทั้งหมด 50 ชุมชน จำนวน 7,069 ครัวเรือน
เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2559 โดยมีผู้เข้าร่วมจำนวน 5,101 ครัวเรือน ยังไม่เข้าร่วม 1,740 ครัวเรือน ทำให้โครงการดังกล่าวยังไม่เป็นไปตามแผนงาน เนื่องจากยังมีประชาชนบางส่วนที่ยังไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ยอมรื้อย้ายบ้านออกจากแนวก่อสร้างเขื่อนฯ ทำให้บริษัทรับเหมาก่อสร้างเขื่อนฯ เข้าไปตอกเสาเข็มไม่ได้ ขณะที่การสร้างบ้านในชุมชนเดิมก็มีความล่าช้าเพราะต้องปรับผังชุมชนใหม่เพื่อสร้างบ้านใหม่ แต่ติดขัดบ้านเรือนที่ยังไม่เข้าร่วม
พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือ ‘เสธ.ไก่อู’ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการสร้างการรับรู้โครงการดังกล่าวจึงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกิจกรรม ‘On Ground’ ลงพื้นที่ ครั้งที่ 1 ‘คืนความสุขให้คนคลอง คืนสายคลองให้คนเมือง’ เมื่อวันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน โดยนำผู้บริหาร กทม.นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าฯ นายสมชาติ ภาระสุวรรณ ผอ.พอช. ผู้อำนวยการเขตบางเขน ตัวแทน คสช. ฯลฯ และสื่อมวลชนล่องเรือสำรวจความคืบหน้าการสร้างเขื่อนระบายน้ำ-การสร้างบ้านประชารัฐริมคลอง จากท่าเรือวัดบางบัวไปยังชุมชนรุ่นใหม่พัฒนา เขตบางเขน
โดยที่ชุมชนรุ่นใหม่พัฒนามีการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ริมคลอง เพื่อให้เห็นประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่ริมคลอง การสร้างบ้านประชารัฐริมคลองรองรับประชาชนที่ต้องย้ายบ้านเรือนออกจากแนวก่อสร้างเขื่อน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การออกร้านธงฟ้าจำหน่ายข้าวสาร น้ำมันพืช และน้ำตาลในราคาถูก การซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ตัดผมฟรี รวมทั้งการแสดงต่างๆ ของชาวชุมชนและวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ ลำตัดคณะ ‘แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์’ และนักร้อง ‘โฉมฉาย อรุณฉาย’ แสดงบนแพริมน้ำ มีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 1,000 คน
พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด กล่าวว่า ที่ผ่านมามีนักการเมืองบางคนไปบอกกับชาวบ้านชุมชนริมคลองลาดพร้าวว่า คนที่สร้างบ้านเรือนบุกรุกแม่น้ำเจ้าพระยาได้รับเงินชดเชยจาก กทม.รายละ 1 แสนกว่าบาท แต่คนที่อยู่ริมคลองไม่ได้รับเงินชดเชย ถือว่าเป็นความเหลื่อมล้ำ แต่ข้อเท็จจริงคนที่บุกรุกแม่น้ำเจ้าพระยามีประมาณร้อยกว่าราย ส่วนชุมชนริมคลองมีการบุกรุกกว่า 1,600 คลอง มีผู้บุกรุกกว่า 30,000 ครอบครัว หากจะจ่ายชดเชยต้องใช้เงินกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาล ต้องดึงเอามาจากภาษีรายได้เพื่อพัฒนาประเทศ ถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
“เดิมพื้นที่ริมคลองเป็นที่ดินราชพัสดุ ไม่อนุญาตให้ใครอยู่อาศัย แต่ตอนนี้รัฐบาลจะให้ประชาชนอยู่อย่างถูกกฎหมาย เสียค่าเช่าประมาณปีละ 100 บาท และมีเงินช่วยเหลือครอบครัวละ 147,000 บาท เพื่อใช้ในการรื้อย้าย สร้างที่อยู่อาศัยชั่วคราว เป็นค่าเดินทางไปทำงาน และสร้างบ้านใหม่ โดยมีสินเชื่อให้กู้รายละ 330,000-360,000 บาท และผ่อนเดือนละ 1,000-3,000 บาทต่อเดือน เพื่อให้ประชาชนมีบ้านใหม่ที่สวยงาม เป็นการสร้างอนาคตให้ลูกหลาน แต่ผู้ที่จะได้รับการช่วยเหลือก็จะต้องเข้าร่วมโครงการ หากไม่เข้าร่วมก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะผิดกฎหมาย และจะต้องถูกดำเนินคดีด้วย” พลโทสรรเสริญกล่าว
นายสมชาติ ภาระสุวรรณ ผู้อำนวยการ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ กล่าวถึงแผนงานโครงการ ‘บ้านประชารัฐริมคลอง’ ว่า ตามแผนงานรองรับชาวชุมชนที่ต้องรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวก่อสร้างเขื่อนฯ ในคลองลาดพร้าว ซึ่งมีชาวบ้านปลูกบ้านเรือนอยู่ในที่ดินราชพัสดุและบางส่วนปลูกสร้างรุกล้ำลงไปในคลอง มีทั้งหมด 50 ชุมชน จำนวน 7,069 ครัวเรือน อยู่ในพื้นที่ 8 เขต คือ วังทองหลาง ห้วยขวาง ลาดพร้าว จตุจักร บางเขน หลักสี่ ดอนเมือง และสายไหม
เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2559 โดยมี 42 ชุมชนที่อยู่อาศัยในที่ดินเดิมได้หลังจากที่รื้อย้ายบ้านออกจากแนวก่อสร้างเขื่อนฯ ขณะนี้บางชุมชนก่อสร้างบ้านเสร็จแล้ว ส่วนอีก 8 ชุมชนมีพื้นที่ไม่พอเพียงจึงต้องจัดซื้อที่ดินใหม่ เป็นที่ดินเอกชนอยู่ในเขตสายไหม และที่ดินของบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดย พอช.มีงบประมาณสนับสนุนการสร้างบ้านครัวเรือนละ 147,000 บาท และสินเชื่อก่อสร้างบ้านครัวเรือนละ 330,000 บาท กรณีก่อสร้างบ้านในชุมชนเดิม และสินเชื่อ 360,000 บาท กรณีซื้อที่ดินใหม่และสร้างบ้าน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 บาทต่อปี ผ่อนชำระ 20 ปี
“ตอนนี้มีบ้านที่กำลังก่อสร้างทั้งในชุมชนเดิมและชุมชนที่ซื้อที่ดินใหม่ รวม 29 ชุมชน จำนวน 2,656 ครัวเรือน คิดเป็น 37.57 % ของจำนวนบ้านที่จะสร้างทั้งหมด โดยมีบ้านที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจำนวน 1,223 ครัวเรือน ส่วนที่เหลือจะดำเนินการต่อไป” ผอ.พอช.กล่าว
ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม ระยะทาง 2 ฝั่ง รวม 45.3 กิโลเมตร บริษัทริเวอร์เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ประมูลงานได้ในวงเงิน 1,645 ล้านบาท ขณะนี้มีความคืบหน้าประมาณ 35.15 % โดยบริษัทตอกเสาเข็มเพื่อเป็นรากฐานเขื่อนไปแล้วเป็นระยะทาง 15.85 กิโลเมตร จำนวนเสาเข็มที่ตอกแล้ว 21,091 ต้น จากจำนวนเสาเข็มทั้งหมดประมาณ 60,000 ต้น ซึ่งถือว่าล่าช้ากว่าแผนงาน ดังนั้น กทม.จึงเร่งให้บริษัทริเวอร์ฯ ตอกเสาเข็มเพิ่มจำนวน 5,500 ต้นภายในเดือนสิงหาคมนี้
ทั้งนี้การก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตระบายน้ำเริ่มจากบริเวณอุโมงค์เขื่อนพระราม 9 (ใกล้คลองแสนแสบ เขตวังทองหลาง) ไปยังประตูระบายน้ำคลองสองสายใต้ เขตสายไหม ความยาวทั้งสองฝั่งประมาณ 45 กิโลเมตร ความกว้างของเขื่อน 25 - 38 เมตร และสร้างทางเดินหรือจักรยานเลียบคลองพร้อมรั้วกันตก นอกจากนี้จะขุดลอกคลองให้ลึกกว่าเดิมอีก 4 เมตร เพื่อให้การระบายน้ำคล่องตัว
ตามแผนงานจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2562 ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จน้ำในคลองลาดพร้าวจะไหลเข้าสู่อุโมงค์เขื่อนพระราม 9 และอุโมงค์ลอดใต้คลองบางซื่อ เพื่อระบายน้ำลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาและไหลลงสู่ทะเลต่อไป โดยสำนักการระบายน้ำ กทม.ระบุว่าจะทำให้ประสิทธิภาพในการระบายน้ำเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมประมาณ 1 เท่าตัว
ส่วนผู้ที่ยังไม่ให้ความร่วมมือกับทางราชการและไม่ยอมรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวคลองเพื่อเปิดพื้นที่ให้การ ก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำและก่อสร้างบ้านใหม่นั้น มีทั้งหมด 1,740 ครัวเรือน โดยผู้ที่เป็นแกนนำขัดขวางการดำเนินงาน เนื่องจากมีผลประโยชน์ เช่น เป็นเจ้าของบ้านเช่า หอพัก ร้านค้า ร้านอาหาร ฯลฯ กรมธนารักษ์ในฐานะเจ้าของที่ดินราชพัสดุได้แจ้งความดำเนินคดีแล้ว 73 ราย ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9 โดยการเข้าไปยึดถือครองที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน เช่น ที่ริมตลิ่ง ทางน้ำ คลอง ฯลฯ ซึ่งมีโทษตามกฎหมายที่ดินและกฎหมายอาญา มีอัตราโทษจำคุก 3 - 5 ปี ขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการในชั้นอัยการ และเจ้าหน้าที่จะดำเนินคดีเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินโครงการอีกประมาณ 78 ราย
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |