การเมืองสองฝั่งความคิด-ใครชนะ...ใครแพ้???


เพิ่มเพื่อน    

โดยบรรยากาศความเป็นไปของบ้านเมือง ณ ช่วงระหว่างนี้...คงต้อง โควิด-ไม่โควิด หรือ วัคซีน-ไม่วัคซีน ไปอีกตราบนานเท่านาน แม้จะมีเรื่อง ลุงพล โผล่เข้ามาสอดแทรกอยู่มั่ง แต่ก็น่าจะว็อบๆ แว็บๆ วูบๆ ไหวๆ ไปตามความดรามาแบบไทยๆ ไม่ถึงกับต้องหยิบเอามาเป็นสาระมากมายซักเท่าไหร่นัก อาจด้วยเหตุเพราะแทบไม่เหลือสาระเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อะไรประมาณนั้น...

                        ------------------------------------------------

            ด้วยเหตุนี้...คงต้องขออนุญาตเบี่ยงไปพูดถึงเรื่องข้อเขียน บทความ ของคุณน้อง สุรวิชช์ วีรวรรณ แห่งสำนัก เอเอสทีวีผู้จัดการ ที่ได้รจนาเอาไว้เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่แม้จะไม่ใช่เรื่องแปลก เรื่องใหม่ หรือเป็นเรื่องที่พอรู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่โดยบทสรุป หรือโดยหัวข้อ คำถาม ที่คุณน้อง สุรวิชช์ ท่านหยิบมาตั้งไว้เป็นชื่อบทความที่ว่า คงต้องยอมรับว่า...เล่นเอา อึ้ง-ทึ่ง-เสียว อยู่ไม่น้อยเช่นกัน นั่นคือว่าด้วยเรื่องราวของ การเมืองสองฝั่งความคิด-เราจะอยู่กันด้วยความเกลียดชัง ไปอีกตราบนานเท่านาน อะไรทำนองนั้น...

                        ---------------------------------------------------

            คือพูดง่ายๆ ว่า...ยุคก่อนๆ นั้น ระหว่าง ซ้าย กับ ขวา แม้จะผิดแผก แตกต่าง กันแบบสองฝั่ง สองฟาก แต่จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายมันยังพอหลอมละลาย ชนิดทหารบ้านอย่างพวก ยังเติร์ก กับทหารป่าอย่าง นักรบ ทปท. หันมาเฮฮา เอิ๊กอ๊าก กินเหล้า กินข้าวหม้อเดียวกันได้ไม่ยาก แต่นับจาก ทศวรรษแห่งความมืดมน หรือนับจาก เหลือง กับ แดง เป็นต้นมา ดูเหมือนว่า...ความผิดแผก แตกต่าง ระหว่าง การเมืองสองฝั่งความคิด มันออกจะ แจม กันยากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตราบเท่าทุกวันนี้ มันชักจะไม่ใช่แค่เฉพาะ เหลือง กับ แดง เท่านั้น แต่เริ่มหนักไปทาง เด็ก กับ ผู้ใหญ่ ที่นับวันจะถอยห่างออกจากกันและกันยิ่งเข้าไปทุกที ชนิดเราอาจต้อง อยู่กันด้วยความเกลียดชัง ไปอีกตราบนานเท่านาน...

                        ------------------------------------------------------

            ซึ่งคงต้องยอมรับนั่นแหละว่า...โดยทัศนะ มุมมอง ของคุณน้อง สุรวิชช์ ทั่น ย่อมมีองค์ประกอบของความจริง ข้อเท็จจริง เป็นพื้นฐานอย่างมิอาจปฏิเสธได้ง่ายๆ ดังนั้นโดยบทสรุปที่ท่านได้ทิ้งท้าย หรือคล้ายๆ กับได้ตั้งคำถามไว้ในตอนท้ายๆ ของบทความ ด้วยข้อเขียนประโยคที่ว่า เราจะอยู่กันด้วยความเกลียดชังกันไปอีกนาน หรือจนกว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง จะกุมชัยชนะได้อย่างเด็ดขาด จึงทำให้อดไม่ได้ที่จะเก็บมาคิด มาใคร่ครวญ พิจารณา กันในแต่ละด้าน เพราะอย่างน้อย...ก็น่าจะดีกว่าการหันไปคิดเล็ก-คิดน้อย หรือคิดมาก ในเรื่องประเภท วัคซีน-ไม่วัคซีน หรือ ลุงพล-ไม่ลุงพล อะไรทำนองนั้น...

                        -------------------------------------------------------

            คือถ้าจะถามว่า...สุดท้ายแล้วใครแพ้-ใครชนะ หรือใครที่น่าจะ กุมชัยชนะได้อย่างเด็ดขาด อย่างที่คุณน้อง สุรวิชช์ ท่านเปรยๆ เอาไว้ อันที่จริงเรื่องนี้...น่าจะเคยมีผู้พยายามให้ คำตอบ เอาไว้ตั้งแต่เมื่อประมาณซัก 8 ปีที่แล้ว แบบชนิดค่อนข้างชัดเจน ตรงไป-ตรงมา เพียงแต่ว่าไม่ค่อยมีผู้ให้ความสนใจมากมายซักเท่าไหร่ อาจด้วยเหตุเพราะท่านไม่ใช่ นักการเมือง แต่ดันเป็น นักวิทยาศาสตร์ ซะแทนที่ นั่นก็คือนักวิทยาศาสตร์ด้านอายุรศาสตร์และพัฒนาทางชีววิทยา แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ผู้มีนามกรว่า ดร.เจอรัลด์ แครบทรี (Gerald Crabtree) นั่นเอง ที่ได้ถูกมอบหมายให้ทำการวิจัย ค้นคว้าและศึกษา ถึงความเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ ความรู้สึก สติ-ปัญญา ภายในตัวตนของมนุษย์ ในระดับลึกลงไปถึงยีน ถึงดีเอ็นเอ เอาเลยถึงขั้นนั้น จนกลายมาเป็นรายงานเอกสารที่ให้ชื่อเอาไว้ว่า Our fragile Intellect หรือ ความบอบบางทางสติ-ปัญญาของเรา ตีพิมพ์ เผยแพร่ ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.2013 โน่นเลย...

                        ----------------------------------------------------

            ถ้าจะให้สรุปแบบสั้นๆ ง่ายๆ...โดยรายงานการค้นคว้า ศึกษา และวิจัยแบบลึกเอามากๆ และเป็นวิทยาศาสตร์เอามากๆ ชิ้นนี้ได้วินิจฉัยชี้ขาด หรือ ฟันธง อย่างไม่คิดจะลังเลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ว่า แนวโน้มที่มวลมนุษย์ในโลกนี้จะ โง่ลง-โง่ลง เกิดความไม่มั่นคงทางอารมณ์ ความรู้สึก และทางสติ-ปัญญา ถือเป็น ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ที่มิอาจปฏิเสธได้อีกต่อไป ดังนั้น...ถ้าหากปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปในแนวนี้โดยเสรี หรือโดยไม่คิดจะทำอะไรกันต่อไป โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะนำไปสู่ความฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย หรือมีแต่แพ้...กับ...แพ้กันโดยถ้วนหน้า ไม่มีใครที่จะชนะได้เลย ย่อมมีความเป็นไปได้ในทางวิทยาศาสตร์ ไม่น้อยไปกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป อะไรประมาณนั้น...

                        -----------------------------------------------------

            ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ในท้ายรายงานการวิจัย หรือโดยบทสรุปของงานวิจัยชิ้นนี้ จึงได้ตัดสินใจ ฟันธง ลงไปแบบชนิดมิดผืน มิดด้าม ด้วยคำพูดประโยคที่ว่า... เราจะต้องเริ่มต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าว ด้วยการยอมรับความจริงที่ว่า...ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์กำลังบอกกับเราว่า วิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับสิ่งเหล่านี้ ก็คือการอาศัย...ศีลธรรม หรือการหาทางฟื้นฟูความดีงามในหมู่มนุษย์ ให้หวนกลับคืนมาให้จงได้ เพราะนี่คือ...ทางออกที่ดีที่สุด หรือพูดๆ ง่ายก็คือ...ไม่ควรปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปโดย เสรี เป็นอันขาด!!! อันมีแต่จะนำไปสู่ความแพ้...กับ...แพ้ หรือฉิบหาย...กับ...ฉิบหายลูกเดียวเท่านั้นเอง...

                        -------------------------------------------------

            หรือสรุปง่ายๆ ก็คือ...ฝ่ายที่ยังยึดมั่นอยู่ในศีล ในธรรม หรือยังคงเชื่อมั่นอยู่ในคุณงาม ความดี ของมวลมนุษย์ จะต้องหาทางยึดกุมชัยชนะให้จงได้!!! ไม่งั้น...ก็มีแต่แพ้...กับ...แพ้ ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย ไม่มีใครหลงเหลืออยู่ในฐานะผู้ชนะได้อีกเลย ส่วนจะเอาชนะกันด้วยวิธีไหน แบบไหน โดยวิธีประชาธิปไตยแบบไทยๆ แบบอเมริกา ฝรั่งเศส หรือแบบจีน แบบรัสเซีย แบบพม่า ฯลฯลฯลฯ อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องเก็บไปคิดๆ เป็น การบ้าน เอาเองก็แล้วกัน!!!

                        ----------------------------------------------------

            ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Peter F. Drucker ... The best way to predict the future is to create it. - วิธีคาดคะเนอนาคตที่ดีที่สุด คือการสร้างสรรค์มันขึ้นมา...

                                                                          ----------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"