นีโอ วางเป้า ดัน “บีไนซ์” ขึ้นเบอร์หนึ่งตลาดครีมอาบน้ำ ยอดขายแตะพันล้าน


เพิ่มเพื่อน    

นีโอ คอร์ปอเรท ส่ง “บีไนซ์” ลุยตลาดครีมอาบน้ำ ดันยอดแตะ 1,000 ล้านบาท พร้อมขึ้นแท่นแชมป์ทันที เร่งเปิดตัวสินค้าใหม่ทั้งกลุ่มแมสและพรีเมี่ยม เชื่อปี 2561 ภาพรวมโต 15%

นางศิริสุภา อาจสัญจร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายครีมอาบน้ำภายใต้แบรนด์ “บีไนซ์” (BeNice) เปิดเผยว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจภายในระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้ มีเป้าหมายผลักดันยอดขายให้เพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาทขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง จากคาดการณ์ปี 2561 ที่ 800 ล้านบาท พร้อมกับมีส่วนแบ่งการตลาดของปีนี้เป็น 18% จากที่ผ่านมา 14%

สำหรับปัจจัยที่ทำให้บริษัทเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าตลาดครีมอาบน้ำมีมูลค่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากเทียบกับอดีตสัก 16 ปีก่อน ซึ่งเป็นปีแรกของการเปิดตัวบีไนซ์จะเห็นได้ว่าครีมอาบน้ำของประเทศทไทย มีมูลค่าเพียงแค่ 1,200 ล้านบาทเท่านั้น เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนมากยังนิยมใช้สบู่เพื่อทำความสะอาดผิวเป็นหลัก แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 4,832 ล้านบาท มากกว่าตลาดสบู่ไปแล้ว จึงเชื่อว่าเทรนด์ของเมืองไทย คงไม่แตกต่างกับในหลายๆ ประเทศ  ที่ประชาชนหันมาใช้ครีมอาบน้ำกันมากขึ้น

ขณะเดียวกันสินค้าของบริษัทยังชูจุดเด่นเรื่องของนวัตกรรมเรื่องของกลิ่นมาตั้งแต่เปิดตัว ซึ่งมีผลตอบรับที่ดีอย่างยิ่งจากผู้บริโภค  ส่งผลให้มาร์เก็ตแชร์มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นมาตลอด ส่วนปีนี้ก็มีการออกสินค้าใหม่ทั้งกลุ่มแมส ที่ได้ร่วมมือกับบริษัทน้ำหอมชั้นนำจากนิวยอร์ค เปิดตัวครีมอาบน้ำ “บีไนซ์ มีสทีค ไวท์” รวมถึงขยายตลาดไปสู่กลุ่มพรีเมียม “บีไนซ์ ดีท็อกซ์” ควบคู่กันไปทางหนึ่งด้วย

นางศิริสุภา กล่าวว่า การทุ่มเม็ดเงินเพื่อทำโฆษณาและโปรโมชั่นของปี 2561 นี้อยู่ที่ 300 ล้านบาท นับว่ามากสุดตั้งแต่เปิดตัวบีไนซ์ ซึ่งจะขับเคลื่อนผ่านกลยุทธ์ด้วยกันหลายอย่า ไม่ว่าจะเป็นการออกสินค้าใหม่ที่มีนวัตกรรม หรือแม้กระทั่งลิมิตเต็ด เอดิชั่น ขยายสู่ตลาดพรีเมี่ยมในราคาสูงกว่าแมส โดยสินค้าจะมีคุณสมบัติที่หลากหลาย ในมุมมองของผู้บริโภคเห็นแล้วต้องยอมจ่ายราคาที่แพงกว่า

พร้อมกันนี้ ยังเตรียมขยายช่องทางจำหน่ายให้มากขึ้น โดยเฉพาะในช่องทางร้านสะดวกซื้อ ครอบคลุมไปถึงการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ด้วยการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งงบประมาณของปีนี้จะถูกจัดสรรให้กับดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง 20% จากปีก่อน 15% บริษัทมองว่าการทำแคมเปญเพียงอย่างเดียวไม่ได้เป็นตัวกระตุ้นการซื้อ แต่ต้องเพิ่มช่องทางของสื่อใหม่ๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ด้วย แน่นอนว่าการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง “บีไนซ์ มีสทีค ไวท์” มีเป้าหมายในการดึงลูกค้าใหม่ที่ยังไม่เคยใข้แบรนด์ของบริษัท ก็นับเป็นการขยายฐานลูกค้าได้ทางหนึ่ง

อย่างไรก็ดี บริษัทคาดการณ์ว่ายอดขายรวมทุกกลุ่มสินค้าในเครือ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เอเวอร์เซ้นส์, ทรอส, บีไนซ์, ไฟน์ไลน์, วีไวต์, สมาร์ท โทมิ และดีนี่ ของปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ  6,200 ล้านบาท เติบโต15% จากปี 2560 แบ่งสัดส่วนเป็นสินค้าของใช้ส่วนตัวหรือเพอร์ซันนัลแคร์ 40% และผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนหรือเฮาส์โฮลด์ ประมาณ 60%


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"