3 มิ.ย.64 - เมื่อเวลา 22.05 น. วันที่ 2 มิ.ย. นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน และส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายสรุปว่า ประเทศไทยหากจำลองเป็น ครอบครัวไทยอุดม มีหัวหน้าครอบครัวมาแล้วถึง 29 คน จนถึงหัวหน้าครอบครัวชื่อ ประยุทธ์ เมื่อเข้ามา กู้เริ่มจาก 2.5แสนล้าน และกู้สูงขึ้นเรื่อยๆในแต่ละปี ทำให้หนี้สาธารณะเริ่มสูง หนี้ครัวเรือนสูงขึ้นอัตราความเหลื่อมล้ำ สูงขึ้น แต่จีดีพีลดลง หาเงินไม่เป็น ใช้เงินเป็นอย่างเดียว จากนั้นก็ไปแก้กรอบกติกา แก้กฎหมาย3อย่าง 1.พรบ.วินัยการเงิน การคลัง เดิมระบุ ให้ชำระเงินต้น2.5 เปอร์เซ็นต์และดอกเบี้ย แต่ไปแก้ให้เหลือการชำระเงิน 1.5 เพื่อให้ใช้หนี้ให้น้อยลง 2.แก้การใช้เงิน เดิมมีการตั้งงบกลาง ให้นายกฯเป็นคนใช้ ที่สำรองใช้จ่ายยามฉุกเฉิน ยามจำเป็นได้ กฎหมายเดิมใช้ 3.5 เปอร์เซ็นต์ ก็ไปแก้ให้ใช้ได้ 7.5 เปอร์เซ็นต์ 3.พรบ.วิธีงบประมาณ ที่ระบุ หากนายกฯใช้งบกลางไม่พอ ให้ใช้เงินสำรองได้สูงถึง 5 หมื่นล้านบาท ทั้ง 3 ข้อนี้ มีพิรุธ เมื่อรู้ว่าไม่ไหว เลยไปแก้ พอสถานการณ์โควิดเริ่มมา ก็ไปกู้เงิน จนเต็มเพดานถึง 7 แสนล้านบาท
พอคนในสังคมมีปัญหา ผู้นำครอบครัวเลยคิดนอกรอย คิดกู้เงินอีก แทนที่จะกู้มาลงทุน เพื่อจะได้งอกเงย ก็เก็บภาษีขึ้นมา แต่เอาไปใช้ผิด ไปแจกโครงการนั้น และไปกู้อีก 1 ล้านล้านบาท แม้จะไปลงทุน 4 แสนล้านบาท ก็ไม่ได้ใช้ หรือใช้เพียงแค่ แสนล้านบาท นอกนั้นนำมาเยียวยาหมด จนมาถึงปีนี้ จนมุม รายได้ที่คิดว่าจะได้ พลาดเป้าไป 3 แสนล้านบาท ใจจริงก็คิดว่า อยากจะกู้อีก แต่กู้ไม่ได้ เพราะกู้จนเต็มแม็กซ์ 7 แสนล้านบาทแล้ว ในปีนี้ หากรายได้เก็บไม่ถึง 2.4 ล้านล้านบาท ก็จะพลาดเป้าจะทำอย่างไร เมื่อกู้มาเต็มแม็กซ์ ปีหน้าจะทำอย่างไร หากกู้ไม่ได้ จะทำอย่างไร วันนี้เดินมาถึงจุดกำลังจะหมดทางไป ในที่สุดตัดสินใจลดงบประมาณ จนปีนี้เหลือ 3.1 ล้านล้านบาท ทั้งที่ยอดเงินงบประมาณแต่ละปี จะต้องสูงขึ้น วันนี้ครอบครัว เดินมาจนถึงจุดที่จะเดินไม่ได้ ปีนี้อาจจะพอซิกแซกไปได้ แต่ปีหน้าจะไปไม่ได้แล้ว ต่อไปก็คงอาจจะเบี้ยวหนี้ทั้งใน และนอกประเทศ วันนี้เป็นครอบครัวแบกหนี้ หนี้ท่วม ทั้งหนี้ครัวเรือนเกือบ 9 ล้านล้านบาท หนี้สถาบันการเงิน ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กำลังจับตา หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ 1 ล้านล้านบาท แสดงว่า สถาบันการเงินกำลังจะมีปัญหา รวมทั้งยังมี หนี้ภาคธุรกิจ และหนี้นอกระบบ
นายกฯกู้มาแล้ว 7 ปี ไม่มีทางลดลงมาเลย มีแต่จะหนักขึ้นไปเรื่อยๆ สมาชิกที่ได้อภิปรายมาตลอด3วัน สิ่งที่วิตกที่สุดที่กำลังเผชิญ นอกจากหนี้5 ประเภทแล้ว ยังวิตกวิกฤติเศรษฐกิจ ไม่มีกิน และสถานการณ์โควิดหากแก้โควิดไม่ได้จะเป็นอย่างไร หากเปรียบการกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องกระตุ้นเครื่องยนต์4ตัว การส่งออก ท่องเที่ยว บริโภคครัวเรือน ลงทุน โดยเครื่องยนต์ทั้งการส่งออก ท่องเที่ยว ดับสนิท ส่วนการบริโภคครัวเรือน แม้จะกระตุ้นกัน ยังโงหัวไม่ขึ้น เหลือเพียง การลงทุน ที่วันนี้ภาคเอกชนลงทุนต่างหมอบสนิท ส่วนการลงทุนภาครัฐ ที่วันนี้รอเพียงตัวนี้ว่า เศรษฐกิจจะฟื้น เมื่อไปดู มีการลงทุนเพียง 6แสนล้านบาท นอกจากนั้นเป็น รายจ่ายประจำ
นายสุทินกล่าวว่า เศรษฐกิจหากจะฟื้น ต้องจัดการโควิด ต้องทำให้เครื่องยนต์ สตาร์ทติดให้ได้ และหวังว่า เมื่อโควิดได้ เพื่อทำให้เกิดการลงทุนภาครัฐ แล้วก็ไปกระตุ้นเครื่องยนต์ที่เหลือ ให้เดินไปได้ ในการอภิปราย3วัน เห็นว่า งบประมาณที่พิจารณา โดยลงทุนมีเพียง 17เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเท่านั้น สมาชิกกังวล เนื่องจากรัฐบาลประเมินสถานการณ์ผิดพลาดว่า เศรษฐกิจปี 2565 จะขยายตัว 2-5เปอร์เซ็นต์นั้น ก็ผิดแล้ว ขณะที่สถาบันการเงิน สถาบันอื่น ให้ไม่เกิน1 เปอร์เซ็นต์ และประมาณการครึ่งปีหลัง จะหาย แต่ถ้าไม่หาย จะเป็นอย่างไร โควิด อย่างไรก็หนีไม่ได้ วัคซีนยังฉีดให้ประชากรไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์
มีความกังวลไปลดงบประมาณทำไม แม้รัฐบอกจะรัดเข็มขัด บอกมีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น มันไม่ใช่ วันนี้ เศรษฐกิจไม่ดี คนขาดเลือด เลือดก็คือเม็ดเงิน ถ้ารักษาได้ ต้องเติมเลือดมาในคน โดยอัดเงินลงไป ไม่ใช่จัดงบลดลง ที่บอกจัดงบประมาณน้อยลงนั้นคิดผิด ต้องถามว่า จะประหยัดอดออม หรือ ประหยัดอดตาย ที่เมื่อไม่มีกินเลย จะไปประหยัดได้อย่างไร ประเทศเรากำลังอยู่ในแบบนี้ รวมทั้งเป็นหนี้ท่วมหัว ประหยัดอย่างเดียว ไม่หาเงินเพิ่ม หนี้จะหมดหรือ มันต้องประหยัดด้วย ต้องหาเงินเพิ่ม ประเทศจะได้หมดหนี้และมีกิน ดังนั้นจึงต้องแบ่งไปลงทุนบ้าง การลดงบประมาณเป็นสัญญาณมหันตภัย ลางร้าย หากเป็นนักธุรกิจ บอกให้ไปเขียนแผนธุรกิจมา ธนาคารโลก ถ้าจะให้กู้ ก็ต้องดูจากการจัดงบประมาณ เมื่อจัดแค่บริโภค ไม่มีการลงทุน ใครจะให้กู้ รวมทั้งเขาจะดูคุณภาพคน การศึกษา มีกำลังใช้หนี้หรือไม่ แต่ในการจัดงบ งบทางด้านการศึกษากลับถูกตัดลง
ความมั่นคงประเทศ ไม่ใช่รถถังหรือเรือดำน้ำ แต่จริงๆคือ คน คุณภาพคน 3.พอลดงบประมาณ ถ้าลดถูกที่ เพิ่มถูกทางก็ไม่ว่า แต่วันนี้ ที่ควรลดกลับไม่ลด โดยเฉพาะ กลาโหมกับสาธารณสุข เราเผชิญกับ สงครามเชื้อโรค กลับ ไปตัดสาธารณสุขมากกว่ากลาโหม กรมควบคุมโรคติดต่อ สถาบันวัคซีน ต่างงบลด และไปตัดบัตรทองอีก เป็นเรื่องที่ชาวบ้านกลัวที่สุด เพราะหากจะเป็น จะตาย ก็ยังได้มีที่พึ่ง แต่งบกลาโหมกลับไม่ตัด นอกจากนี้ยังไปตัดงบทางด้านการศึกษาอีก ตัดในส่วนของเด็กประถมด้วย ทั้งที่เป็นนโยบายของพรรคพลังประชารัฐแท้ๆ ไปตัดงบท้องถิ่น อันเป็นช่องทางที่จะพัฒนาไปถึงชาวบ้าน
นายสุทินกล่าวอีกว่า การแก้ไขปัญหาโควิด การจัดซื้อวัคซีน ทำไมไม่เขียนรายละเอียดลงเอาไว้ในงบประมาณ คนจะได้มั่นใจ เพื่อจะได้สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน แล้วคนจะไปหวังเลื่อนลอยได้อย่างไรในสิ่งที่ไม่ได้เขียน คนก็ยังกังวลเรื่องหนี้ท่วม ที่ไม่มีหวังเศรษฐกิจจะฟื้น รวมทั้งโควิด ว่าจะหายหรือไม่ แม้นายกฯบอกว่า โควิดไม่กลัว มาถูกทาง บอกว่าประเทศนั้นตายเท่านั้น เท่านี้ เหมือนกับประเทศเรากำลังสบายๆ ถ้าไปเปรียบอินเดียวก็ใช่ แต่ถ้าไปเปรียบกับลาว ที่การตายเป็นศูนย์ ก็ไม่ใช่ โดยมีตัวเลขที่ควรพิจารณาคือ ค่า R คือ ศักยภาพในการขยายตัวของโควิด เมื่อ 13เม.ย. เราเป็นแชมป์โลก หลายประเทศลดลง แต่เราไม่ลด วันนี้คนตายมากกว่าสงคราม คนตายเพราะรอเตียง วัคซีนไม่มี เครื่องช่วยหายใจไม่มี สิ่งนี้คือ ความบกพร่อง สิ่งที่คนจะเริ่มมั่นใจคือ วัคซีน ที่เป็นปัญหามาก บริหารไม่มีประสิทธิภาพ เรื่องวัคซีน เป็นความสิ้นหวัง ที่บอกว่าจะฉีดให้ครอบคลุมประชากร 70 เปอร์เซ็นต์ในเดือนกันยายน แต่วันนี้ ฉีดได้เพียงแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แม้นายกฯบอก คนไทยได้ฉีดทุกคนแน่ ทำไมไม่บอกต่อท้ายด้วยว่า ได้ฉีดแน่ ถ้าไม่ตายก่อน ที่พูด ไม่ได้เหน็บแนม เอามัน วัคซีนนั้นต้องได้ฉีดทันเวลา วัคซีนมีคุณภาพ มาทันเวลา กระจายอย่างเป็นธรรม ขอยกตัวอย่างจ. มหาสารคาม ได้โควตาวัคซีน 1.3 แสนโดส รอ7มิ.ย. ที่จะปูพรมได้ฉีดวัคซีน แต่ล่าสุดได้รับการแจ้งจากทางจังหวัดว่า จะได้รับวัคซีนมาเพียง 3000 โดสเท่านั้น เรื่องวัคซีน หมดความหวัง หรือมีความหวังแต่ช้า นายกฯทำผิดเรื่องวัคซีน ทั้งนี้การจัดการวัคซีนที่ผิดพลาด เพราะประเมินผิดว่า โควิดจะไม่มาอีก รวมทั้งไปตั้ง ศบค. ที่เอาทหารมานั่ง ให้เลขาสมช.เป็นประธานบอร์ด ส่วนหมอให้เดินตามหลังทหาร
“ประชาชนเชื่อว่า รัฐบาลมีผลประโยชน์ มีส่วนต่าง มีเงินทอนกับวัคซีน แม้จะบอกไหน ใบเสร็จ ไม่มี เพราะโจรสมัยนี้ฉลาด แต่ลองดู ภาษากาย ที่คนสงสัยว่า 1.ทำไมไม่เข้าโครงการโคแวค ในการจัดหาวัคซีน ประเทศที่เข้าร่วมโครงการ จะได้วัคซีน 2.ทำไมเชียร์กับบางยี่ห้อ เหมือนเจตนาดีเลย์ ยี่ห้ออื่นหรือไม่ 3.สิ่งที่คนไทยอยากได้ ทำไมถึงไม่สั่งซื้อ ก็เพราะ สามยี่ห้อนี้ มีกฎระเบียบเคร่งครัดมาก ในการห้ามติดสินบน คนเลยสงสัยว่า เป็นเพราะเจรจาผลประโยชน์กันไม่ได้ ใช่หรือไม่ แล้วก็มาอ้างกฎหมาย หากติดกฎหมายทำไมไม่เอาเข้าสภาฯ ก็พร้อมแก้ไข ชิโนฟาร์ม อ้างว่า หาทางพบนายกฯ รัฐมนตรีไม่ได้ เวลาบริษัทที่ไม่อยากได้ ให้ไปหาอย. แต่บริษัทที่อยากได้ กลับบินไปหาเขา เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนสงสัย ในขณะที่เราประสบวิกฤติโควิด วัคซีน แต่บางคนเห็นเป็นโอกาส ใครหากินบนความเป็นความตายประชาชน โหดร้าย ไร้มนุษยชน กรรมจะตามทัน เมื่อคนจะเสนอให้ ก็ไม่เอา จนเจ้าของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ออกมาเปิดโปง ต้องเจอเบี้ยบ้ายรายทาง หากอยากให้ประชาชนได้วัคซีน ต้องบินไปเจรจา ไม่ใช่นั่งอยู่ในบ้าน ให้วัคซีนวิ่งมาหา เวลาโควิดเข้ามาในประเทศ ไม่ต้องผ่านตามขั้นตอนเลย โควิดไปเร็ว แต่ขั้นตอนการหาวัคซีนช้า เพราะให้เป็นไปตามขั้นตอน”
นายสุทินกล่าวอีกว่า หากวัคซีนเป็นแบบนี้ ระบบเป็นแบบนี้ ฉีดไม่ทันเวลา เครื่องยนต์เศรษฐกิจจะดับ แล้วปีหน้าจะเอาที่ไหนมากู้ การจัดงบ ไม่กระตุ้นเครื่องยนต์4ตัว ทางเศรษฐกิจได้ การจัดงบประมาณแบบนี้ รับไม่ได้ จึงไม่ให้ผ่าน ขอให้กลับไปทำใหม่ แม้กลับไปทำใหม่ ให้ไปแก้มาให้ตอบโจทย์ เวลาที่เหลือ ถ้างบประมาณตก ประชาชนไม่ต้องวิตก เงินมีใช้ ให้ไปใช้ งบประมาณฉบับเดิมคืองบประมาณปี2564 ที่กลับไปใช้ในพลางได้ก่อน แล้วยังมีเงินกู้อีก 5 แสนล้านบาท แม้จะไปแก้มา ทำใหม่ แต่ถ้าหัวหน้าครอบครัวชื่อ ประยุทธ์ ก็ไม่แน่ใจ แม้ทำงบประมาณถูก ก็อยู่ที่การบริหารอีก เป็นลุงตู่ลมโชย คือ เฉื่อยช้าไปทุกอย่าง ต้องเปลี่ยนนายกฯด้วย คือ นิสัยส่วนตัว ไม่รับผิดชอบ โยนความผิดให้คนอื่น แล้วยังโทษไปถึงเรื่องจำนำข้าวอีก เพราะเป็นนโยบายสาธารณะ ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องกำไร ขาดทุน แต่ในรัฐบาลประยุทธ์ ที่บริหารประเทศมา ทำให้หนี้สาธารณะ สูงกว่า5 ล้านล้านบาท หากต้องใช้หนี้จำนำข้าว 3 แสนล้านบาท หากไปหักออก พล.อ.ประยุทธ์ สร้างหนี้สาธารณะสูงกว่า ไม่รู้กี่เท่า และถ้าแบ่งใช้ตามเรตตอนนี้ อีก 102 ปี กว่าจะใช้หมด
คนที่ชอบโยนความผิดให้คนอื่น มีคนบอก คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว การจัดงบประมาณแบบทองไม่รู้ร้อน ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว นอกจากไม่มีความหวังเรื่องโควิด ปีหน้า เขาก็ถาม หนี้ที่ก่อไว้ ทำอย่างไรต่อ เพราะตอนนี้ หนี้ชนเพดานทุกตัว ก่อนจะปิดประชุม นายกฯ ตอบให้คนไทยฟัง หากเก็บเงินไม่เข้าเป้า ประมาณรายได้ผิดพลาด แล้วปีหน้า จะทำอย่างไร จะกู้อีกหรือ เพราะกู้ไม่ได้ โดยเงิน 5 แสนล้านบาท ที่จะเข้าสภาฯ เชื่อว่า คงไม่จบ คงจะกู้อีก โดยในเงินหนี้ ต้องไปใช้หนี้อื่นที่กู้มา แล้วก็มาแก้วินัย การเงินการคลังอีก ไม่ควรจะมาขยายเพดานเงินกู้อีกแล้ว
“การเปลี่ยนผู้นำประเทศวันนี้คือการช่วยชาติ หากท่านยังอยู่ต่อไป ท่านมั่นใจว่ามีบารมีพอจะคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลได้หรือ เห็นอาการท่านมาสามวัน จะพาประเทศไปอย่างไร คนแก้เศรษฐกิจก็ไม่มีเอกภาพนำเขาไปได้ ฝากนายกฯ ว่าท่าเป็นทหาร เคยได้ยินคำว่านักรบผู้ยิ่งใหญ่ ขุนศึกผู้เกรียงไกร จะพิสูจน์ตัวเองได้เมื่อเจอสถานการณ์คับขัน แต่นักรบที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ สถานการณ์ธรรมดาก็โชว์ไม่ได้ สถานการณ์คับขันก็เดี้ยงเลย อีกคำที่คนชอบเปรียบเทียบ พระราชามีม้าสองตัว ถ้าท่านเสด็จพื้นเรียบก็จะใช้ม้าที่วิ่งเร็ว ไม่ต้องอึดไม่ต้องทน แต่ถ้าพระราชาต้องเสด็จทางกระโดกกระดาก ทางวิบาก ท่านก็เลือกม้าอีกตัวหนึ่งซึ่งมีน้ำอดน้ำทน แต่อดทนสู้วิบาก วันนี้ประเทศไทยเป็นพื้นที่ภูเขา ประชาชนอยากเลือกม้าที่อึด สู้กับภูเขาได้ แต่ม้าตัวนี้พิสูจน์แล้วว่าพื้นเรียบ 7 ปีก็ไม่ได้ ภูเขาอีก 2 ปีช่วงโควิด 63-64 ก็ไปไม่ได้ ประชาชนอยากเปลี่ยนม้า สิ่งที่นายกฯ ทำไม่ได้คือเรียกความเชื่อมั่นกลับมา จึงขอนายกฯ รัฐมนตรี ฝ่ายค้าน รัฐบาลทุกคน เรามาช่วยกันหยุดการบริหารประเทศเพื่อชาติ คนเก่งมีพอ มีเยอะ” นายสุทินกล่าว
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |