สถานะ '๓ พรหม-พุทธะอิสระ'


เพิ่มเพื่อน    

     รู้จัก "เสี่ยนงค์" มั้ย?

            ก็เสี่ยนงค์ วัดสัมพันธวงศ์ "๑ ใน ๓ พรหม" ผู้ต้องหาเงินทอนวัดนั่นไง

          ขณะที่ "๒ พรหม" เพื่อน นอนรออยู่ในคุก แต่อีก ๑ พรหม เมื่อวาน (๑ มิ.ย.๖๑) กลับมีข่าวเป็น "พรหมเหาะ"

          ".......สีกาชื่อ จ. ลูกศิษย์คนสนิทชาวไทยพาข้ามพรมแดนไป

            แหล่งข่าวบอก 'พระพรหมเมธี' หนีขึ้นเรือหาปลาที่ชุมชนบ้านท่าควาย เขตเทศบาลเมืองนครพนม  ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ ๓ กม."

            สำมะคัญจริงๆ เสี่ยนงค์คนนี้ นอกจากบอดี้การ์ดหน้าแดงแล้ว ยังมีบอดี้การ์ดหน้าขาวอีก

          คาดเดากันว่า "หนีเข้าลาว" ไปแล้ว ไปอยู่แก๊งโกตี๋หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ?

          ต้องบอกว่า นี่แหละ "ตัวจริง-แสบจริง"

          วันไหนร่อนผ้าเหลืองให้เห็นร่างจริงในบทจะเด็ด ณ มุมมืดกุฏิ ทั้งสาวแก่แม่หม้าย นอกจากร้องกรี๊ด

          ยังต้องร้องซี้ดอีกตะหาก!?

          ๖-๗ เหลือง ที่เข้าไปอยู่ในคุกตอนนี้ เห็นมีบางคนยกเอากรณี "พระพิมลธรรม" เป็นตัวอย่าง ในเชิงทึกทัก

          "ยังไม่ขาดจากความเป็นพระ" นะ.......

          เพียงถูกจับถอดผ้าเหลือง ใจยังสมาทาน วาจายังไม่ได้กล่าวลาสิกขา ประมาณนั้น! 

          ผมว่า "เลิกพูด-เลิกทึกทัก" ได้แล้ว ที่ว่าแก๊งเงินทอนวัดยังไม่ขาดจากความเป็นพระนั่นน่ะ

          และอย่านำคดี "พระพิมลธรรม" ที่จอมพลสฤษดิ์ยัดข้อหาคอมมูนิสต์

          แล้วถอดผ้าเหลืองท่านมากล่าวอ้าง ด้วยหวังยื้อว่าตัวเอง "ยังเป็นพระ" ดังพระพิมลธรรมอีกต่อไปเลย!

          เพราะมันคนละ "ฐานความผิด" พระพิมลธรรม ถูกยัดข้อหาทางโลก ว่ากระทำเป็นคอมมูนิสต์ ซึ่งเป็นข้อหานอกพระวินัยบัญญัติ และทั้งศาลยกฟ้อง

          ถึงจริง ก็ยังสรุปว่าขาดจากความเป็นพระทันทีไม่ได้ เพราะเป็นข้อหานอกพระวินัย

          ต้องให้คณะสงฆ์วินิจฉัย ว่าผิดนั้น เข้าองค์ประกอบตามพระวินัย ว่าต้องอาบัติข้อไหนหรือไม่?

          แต่ ๓ พรหมกับคณะ ข้อหาฟอกเงินทอนวัดเป็นล้านๆ บาท นั่นผิดทั้งอาญา ทั้งพระวินัย

          ว่าด้วยการเอาของของคนอื่นที่เขาไม่ได้ให้มาเป็นของตน ราคาเกินกว่า ๕ มาสก คือ ประมาณ ๑  บาท

          นั่น...ขาดจนทะลุ เลยความเป็นพระตามพระวินัย ว่าด้วยปาราชิก ไปถึงก้นโลกันตร์โน่นแล้ว

          ไม่ต้องรอศาลเป็นที่สุด หรือรอมหาเถรฯ มหาโชว์ห่วยที่ไหนชี้ขาดหรอก!

          เมื่อสิงหา ๒๕๐๙.........

          หลัง "ศาลทหาร" ยกฟ้อง "พระพิมลธรรม" กลับครองผ้าเหลืองในทันที

          คณะสงฆ์วัดมหาธาตุฯ ยอมรับความดำรงอยู่แห่งสมณเพศพระพิมลธรรม ยินดีให้พระพิมลธรรมร่วมทำสังฆกรรมในพระอุโบสถ

          ครั้งนั้น สังคมทั่วไป เสียงแตกเป็น ๒ ฝ่าย

          ฝ่ายหนึ่งก็ว่า ขาดจากความเป็นพระแล้ว อีกฝ่ายก็ว่า ไม่ขาด

          "พระธรรมมหาวีรานุวัตร" เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรฯ ให้ความเห็นไว้ตอนหนึ่ง.........

          "คอมมูนิสต์เป็นศีลหรือเปล่า ในกรณีนี้ ผู้เป็นคอมมูนิสต์ผิดศีลธรรมหรือไม่

            เช่นในกรณีพระมหาอาจ (พระพิมลธรรม-เปลว) ถูกกล่าวหาเป็นคอมมูนิสต์ผิดศีลธรรมหรือไม่?"

            และท่านก็ยกบัญญัติในพระพุทธศาสนาว่า สงฆ์ผู้จะขาดสมณเพศได้นั้น จะต้องเป็นผู้ปฏิบัติผิด

            ๑.เสพในกาม ๒.ลักทรัพย์ ๓.ฆ่ามนุษย์ ๔.อุตริมนุธรรม หรือการอวดอ้างว่า ตนเองสำเร็จพระอรหันต์แล้วโดยเข้าใจผิด ย่อมถือว่าผิด

            ในบัญญัติ ๔ ข้อนี้.........

            ถ้าหากผู้อยู่ในสมณเพศประพฤติตนในข้อหนึ่งข้อใด สมณเพศย่อมขาด

            ถึงแม้ว่าไม่มีใครรู้เห็นหรือถูกฟ้องร้องต่อศาล จะแพ้หรือชนะ ก็ต้องถือได้ว่า "ขาดสมณเพศ"

            เมื่อพิจารณาถึงคดีที่เกิดกับมหาอาจนั้น คดีไม่ได้กล่าวหาว่าผิดศีล ที่กล่าวหาว่าเป็นคอมมูนิสต์เป็น "อันติมวัตถุ" เป็นการต้องอาบัติหรือเปล่า

            และการที่มหาอาจไม่ได้สึกเอง ไม่ได้เต็มใจที่จะสึก จึงเป็นเรื่องน่าพิจารณา สมเด็จพระพุทธเจ้าตรัสว่า

            "การครองจีวรในสงฆ์นั้น ถ้าหากมีโจรมาปล้นหรือยื้อแย่งจีวรก็ให้ไป เพียงแต่หาเศษผ้าหรือใบไม้หุ้มห่อกายไว้ ย่อมถือได้ว่ายังไม่ขาดจากสมณเพศ"       

          กรณีมหาอาจหรือพระพิมลธรรม ร่วมทำสังฆกรรมในวัดมหาธาตุฯ ทันทีหลังพ้นข้อหา พระธรรมมหาวีรานุวัตร บอกว่า

          "การที่มหาอาจทำพิธีสังฆกรรมในอุโบสถวัดมหาธาตุฯ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นวัดใหญ่วัดหนึ่ง ส่วนหมู่พระจำนวนมาก ถ้าหากเจ้าอาวาสในหมู่พระในวัดไม่รังเกียจเช่นนี้แล้ว จะให้คนอื่นวินิจฉัยกันว่าอย่างไร"

            และท่านแนะ เรื่องนี้ ควรตกลงกับ "กรมศาสนา" (สำนักพุทธปัจจุบัน) จะดีกว่า เพราะเป็นเจ้าหน้าที่โดยตรง

          "ม.ล.ปิ่น มาลากุล" รมว.ศึกษาฯ ตอนนั้น รายงานเรื่องนี้ถึงนายกฯ "จอมพลถนอม" ความตอนหนึ่งว่า

       ..........ฉะนั้น เมื่อพระอาจ ดวงมาลา มิได้กระทำผิดวินัยสงฆ์ขั้นอุกฤษฏ์ โดยละเมิดอาบัติปาราชิก ๔ ข้อดังกล่าว

            และตนเองยังมีจิตใจมั่นคง มีศรัทธาแน่วแน่จะเป็นพระภิกษุอยู่ต่อไป ในระหว่างที่ถูกคุมขัง ก็ยังปฏิญาณตนเป็นภิกษุอยู่เช่นนี้

          ตามหลักทางวินัยพุทธบัญญัติ ถือว่าพระภิกษุที่อยู่ในฐานะเช่นนั้น ไม่ขาดความเป็นพระภิกษุพุทธสาวก เช่นเดียวกับกรณีที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาลถูกโจรปล้นเอาผ้าจีวรไป...."

          ..........อนึ่ง ในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๐๙ ซึ่งเป็นวันที่ศาลตัดสินให้พระอาจฯ พ้นข้อหาแล้ว พระอาจฯ ได้ไปนมัสการพระประธานในพระอุโบสถวัดมหาธาตุฯ มีพระสงฆ์วัดมหาธาตุฯ เป็นจำนวนมาก มาต้อนรับอยู่อย่างปีติยินดี และแสดงคารวะต่อพระอาจฯ โดยมิได้รังเกียจแต่ประการใด

            รุ่งขึ้น วันที่ ๓๑ สิงหาคม ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ซึ่งเป็นวันพระ เป็นวันที่พระสงฆ์จะต้องทำอุโบสถสังฆกรรม คือประชุมสงฆ์ฟังสวดพระปาฏิโมกข์ตามพระพุทธบัญญัติ

            พระอาจฯ ได้มาร่วมประชุมทำอุโบสถสังฆกรรมที่พระอุโบสถวัดมหาธาตุฯ ในท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์ประมาณ ๓๐๐ รูป มีพระธรรมรัตนากร เจ้าอาวาส เป็นประธาน

            การประชุมทำอุโบสถสังฆกรรมนี้ ถือเป็นกิจกรรมสำคัญของสงฆ์ ผู้จะเข้าร่วมประชุมได้ จะต้องเป็นพระภิกษุผู้บริสุทธิ์ และที่ประชุมนั้นไม่รังเกียจด้วยประการใดๆ จึงจะเข้าร่วมทำอุโบสถสังฆกรรมได้

            การที่คณะสงฆ์วัดมหาธาตุฯ ยินยอมให้พระอาจฯ เข้าร่วมทำอุโบสถสังฆกรรมในวันนั้นด้วย โดยมิได้แสดงอาการรังเกียจแต่ประการใด

            จึงเป็นการยืนยันได้ว่า พระอาจฯ ยังทรงภาวะความเป็นภิกษุอยู่ และคณะสงฆ์ที่ประชุมทั้งหมด รับรองความเป็นภิกษุของพระอาจฯ อย่างสมบูรณ์ทุกประการ"

          ที่ยกมานี่.......

          พอมองเห็น "ความต่าง" ระหว่างคดีพระพิมลธรรม ซึ่งเป็นคดีนอกพระวินัย

          กับคดี ๓ พรหมและแก๊งเงินทอน อันเป็นคดีในพระวินัยขั้นปาราชิกกันแล้วกระมัง?

          ฉะนั้น เลิกทึกทักความเป็นพระว่าคงอยู่กับพวกอลัชชีเหล่านี้ไปได้เลย ใครก็อย่ายกมาเป็นแง่มุมอีก

          ยังดีนะ ที่ฝ่ายทำคดีบอกต่อสาธารณะแค่ว่า แก๊ง ๓ พรหมพฤติกรรมทุจริตเงินทอนวัด

          ถ้าบอก "ตามพฤติกรรม" ที่สอบสวน-สืบสวน พยานหลักฐานยืนยันอึดตะปือ

          ญาติโยมทั้งหลาย ต่อให้ "เต๊กกอ เมีย ๗" ก็ต้องร้อง อื้อฮือ..อื้อฮือ..ก่อนช็อกตาย ด้วยคิดไม่ถึง!

          ย้อนไปทาง "พุทธะอิสระ" บ้าง ตามข่าว ท่านบอก "ไม่ได้เปล่งวาจาลาสิกขา" ในความหมายว่า ยังเป็นพระอยู่

          เมื่อดูตามข้อหา.......

          คดีอั้งยี่-ซ่องโจร-ปล้นทรัพย์ และคดีนำตราสัญลักษณ์พระปรมาภิไธยไปใช้โดยไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต

          จะเห็นว่า ฐานความผิด ผิดทั้งอาญาและพระวินัย

          ซึ่งจะยกคดีพระพิมลธรรมอ้างอิง ด้านความดำรงอยู่แห่งสมณเพศในทันที ก็ไม่ได้เช่นกัน

          ต้องรอ "ที่สุดแห่งศาล" และทั้งพฤติกรรมแห่งคดี อยู่ในข่ายพระวินัย ว่าด้วยปาราชิก ข้อลักทรัพย์

          หลังคดี "ถึงที่สุด" นั่นแหละ........

          พิจารณาจากคำตัดสินแล้ว ค่อยว่ากันอีกที ใครที่ไม่ใช่ตัวพุทธะอิสระ อย่าเที่ยวทึกทักเพื่อท่านไปเลย!

          อีกด้านหนึ่ง......

          กรณี "พุทธะอิสระ" มีแง่มุมควรมอง นอกเหนือประเด็น "ทางโลก-ทางพระวินัย"

          เท่าที่ "นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย" เข้าเยี่ยม และท่านฝากคำพูดมาบอก ว่า

          "ขอสละสิทธิ์ทางการต่อสู้กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลปกครอง และไม่ขอใช้สิทธิ์ประกันตัว

            โดยจะขอต่อสู้เป็นครั้งสุดท้าย........

            เพื่อเปิดทางให้รัฐบาล และ คสช.ปฏิรูปศาสนาดำเนินการกับพระสงฆ์ที่กระทำความผิด

            ขออย่าตำหนิรัฐบาล คสช.และยังคงสนับสนุนและให้กำลังใจรัฐบาลในการปฏิรูปประเทศในทุกด้านต่อไป"

            เท่านี้......

          แจ่มแจ้งแล้วในตัวตนแห่งความเป็น "พุทธะอิสระ" ตามพุทธวจนะ ว่า

            "สูทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้อันตระการดุจราชรถ ที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่"

          แล้วคืออะไร.......ค่อยว่ากัน.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"