‘เพื่อไทย’ขู่ล้มรัฐบาล ควํ่างบฯ65วาระแรก


เพิ่มเพื่อน    

 

เพื่อไทยแตกหัก!   "ชลน่าน" ลั่นเตรียมคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2565 ให้จอดตั้งแต่วาระแรก  ย้ำการอภิปรายครั้งนี้น้องๆ อภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะฝ่ายค้านไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีให้บริหารประเทศอีกต่อไป

    เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2564 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 31 พฤษภาคม-2 มิถุนายน ว่าล่าสุดพรรคเตรียม ส.ส.ที่จะอภิปรายไว้ 55 คน ไม่นับรวมประธานวิปฝ่ายค้านและเลขาธิการพรรค พท. โดยพรรค พท.ได้รับการจัดสรรเวลา 760 นาที ในวันที่ 30 พ.ค. พรรคนัดประชุมวางแนวทางรายละเอียดทั้งหมด ว่าใครจะอภิปรายประเด็นใด และจัดทีมแบบมียุทธศาสตร์ เพื่อร้อยเรียงเรื่องราวเป็นเรื่องเล่าให้สอดรับกันเป็นกลุ่มๆ ไป เช่น กลุ่มความล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพการบริหารงบประมาณ กลุ่มการจัดสรรงบประมาณไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหา ซึ่งจะเจาะไปในรายกระทรวง กลุ่มตรวจสอบการเอื้อและแสวงหาประโยชน์ เป็นต้น หลังจากแบ่งเวลากับพรรคร่วมฝ่ายค้านแล้ว ก็จะมาจัดคิวการอภิปรายกันอีกครั้งในวันอภิปราย เบื้องต้นพรรคร่วมฯ ได้หารือกันว่า หากประเด็นใดคล้ายกันก็จะจัดคิวอภิปรายให้เป็นกลุ่มเดียวกัน
    เมื่อถามว่า แนวทางการอภิปราย ครั้งนี้ จะมีความพิเศษแตกต่างจากปีก่อนหรือไม่ นพ.ชลน่านตอบว่า การอภิปรายครั้งนี้จะเป็นน้องๆ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเราไม่ไว้วางใจให้คณะรัฐมนตรีชุดนี้บริหารงบประมาณอีกต่อไป
    "มติของพรรคเพื่อไทยจะโหวตไม่รับหลักการในวาระ 1 เลย ไม่เหมือนปีก่อนๆ ที่จะรอฟังว่ารัฐบาลชี้แจงดีหรือไม่ดี แต่ปีนี้เราดูแล้วต้นเหตุของปัญหามี 2 อย่าง คือการจัดจัดสรรเม็ดเงิน และผู้จัดสรรเม็ดเงินหรือผู้บริหาร ซึ่งการจัดสรรงบประมาณที่ไม่สอดคล้องและไม่ตอบโจทย์ ถือว่ามีปัญหาน้อยกว่าคนบริหารที่เป็นต้นเหตุหลัก การอภิปราย จึงพุ่งเป้าไปที่ผู้บริหาร" นพ.ชลน่านกล่าว
    นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์ภาพรวมการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ.2565 ว่า ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีได้เวลาอภิปราย 22 ชั่วโมง ส่วนพรรคร่วมฝ่ายค้านได้เวลาอภิปราย 22 ชั่วโมงเช่นเดียวกัน พรรคเพื่อไทยได้เวลาอภิปราย 12 ชั่วโมง จะอภิปรายใน 4 กรอบใหญ่ คือภาพรวมเศรษฐกิจสังคมของประเทศในปี 65 จะชี้ให้เห็นว่ารัฐประมาณการผิดพลาดว่า โควิดจะหายเศรษฐกิจจะฟื้นตัว กรอบที่ 2 จะชี้ให้เห็นว่าเมื่อประเมินสถานการณ์ผิดพลาดแล้ว ก็มาตั้งโจทย์ผิด และตอบโจทย์พลาด จึงจัดงบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาโควิดน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ในที่สุดก็จะพาประเทศออกจากวิกฤติไม่ได้
    กรอบที่ 3 จะชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลจัดงบประมาณผิดพลาด และประเทศจะไม่มีโอกาสลืมหูลืมตา คือการกู้การลงทุนชนกรอบเพดานวินัยการเงินการคลังอาจทำให้เกิดภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง จะทำให้ระบบการเงินการคลังของประเทศพังในที่สุด และกรอบที่ 4 จะชี้ให้เห็นถึงการปรับลดงบประมาณที่ไม่สมดุล มีเจตนาเอื้อพวกพ้องและทอดทิ้งประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เช่น การปรับลดงบประมาณที่ไม่สมดุล บางกระทรวง เช่น กระทรวงกลาโหม ที่ควรลงจำนวนมากแต่ไม่ปรับ ดันไปลดของกระทรวงที่ควรเพิ่มคือกระทรวงสาธารณสุข และยังมีอีกหลายด้านหลายยุทธศาสตร์ที่ดูแล้วเป็นการปรับลดที่ไม่สมเหตุสมผล ไม่เป็นไปตามสภาวการณ์ของประเทศ
จะเลือกมารยาทหรือประชาชน
       เมื่อถามว่า ที่สุดแล้วคิดว่าจะสามารถอภิปรายเพื่อทำให้รัฐบาลยอมเปลี่ยนแปลงงบปี 65 ให้ดีขึ้นได้หรือไม่ นายสุทินตอบว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา 2 ปี เห็นว่ารัฐบาลดื้อในเรื่องนี้มาก เราเคยแนะนำในวาระที่ 1 ไปมาก แต่รัฐบาลไม่เคยปรับแก้ คราวนี้ก็คิดว่าเหมือนเดิม แต่ก็เชื่อว่าอาจมีอะไรที่นอกเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นได้ เพราะในซีกของพรรคร่วมรัฐบาลมีแกนนำหลายพรรค ที่มีความรู้สึกสอดคล้องกับเรา บ่นอึดอัดและรับไม่ได้กับงบประมาณฉบับนี้ แต่อยู่ที่ว่าเขาจะเลือกเอามารยาททางการเมืองหรือเลือกประชาชน เชื่อว่าเป็นโจทย์ที่พรรคร่วมหลายพรรคกำลังคิดหนัก เราก็อยากฝากไปพรรคเหล่านั้นว่าวันนี้และปีหน้าประชาชนยังจะลำบากอยู่มากเดือดร้อนมาก ไม่มีความหวังและหาทางออกไม่เจอ อยู่ที่พรรคร่วมรัฐบาลจะหาทางออกให้เขาหรือไม่
    ด้านนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ ส.ส.ของพรรคที่ได้เสนอตัวในการอภิปรายในวาระแรก ได้เตรียมข้อมูลทำการบ้านกันทุกคน ซึ่งนำทีมโดยนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช,  นายกนก วงษ์ตระหง่าน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายเกียรติ สิทธีอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อ นำทีมอภิปรายรวมประมาณ 13 คน เนื่องจากพรรคได้เวลาในการอภิปราย 138 นาที จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาที่ได้มาให้เกิดประโยชน์ที่สุด
    สำหรับการอภิปรายในวาระที่หนึ่งนี้ ตามหลัก ส.ส.สามารถใช้สิทธิ์ในการอภิปรายได้อย่างเต็มที่ ทั้งการอภิปรายถึงแหล่งที่มาและประมาณการรายได้ผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ ที่คาดว่าจะได้รับจากการจ่ายเงินและที่สำคัญความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาต่างๆ แต่ทั้งนี้ก็มีหลักการการใช้จ่ายงบประมาณที่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของวินัยทางการเงินการคลังของรัฐ รวมถึงสภาพปัญหาในพื้นที่ของ ส.ส.ก็จะเป็นข้อมูลที่จำเป็น
    นายราเมศย้ำถึงมติที่ประชุม ส.ส.ของพรรคเมื่อวันที่ 26 พ.ค. ว่าพรรคมีมติเห็นชอบในวาระที่หนึ่งแล้ว เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญต่อพี่น้องประชาชน ส.ส.ทุกคนจะเห็นชอบ สิ่งใดที่ต้องการเปลี่ยนแปลงให้ไปว่ากันต่อในชั้นกรรมาธิการ และในการพิจารณาวาระหนึ่งพรรคพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
ขอให้ประชาชนมั่นใจนายกฯ
    นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรอบวงเงินกู้ 5 แสนล้านบาท ภายใต้ พ.ร.ก.เป็นกรอบวงเงินที่เหมาะสมที่จะดำเนินมาตรการทางการคลังเพื่อดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุข ช่วยเหลือเยียวยา ตลอดจนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของของโควิด-19 ระลอกนี้ได้อย่างต่อเนื่องกับ พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2564-2565 สามารถขยายตัวได้เพิมขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
    โฆษกประจำสำนักนายกฯ ยังยืนยันว่า การออก พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาทในครั้งนี้ จะส่งผลให้ประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ร้อยละ 58.56 และยังอยู่คงภายใต้กรอบวินัยทางการคลัง ซึ่งรัฐบาลได้ระมัดระวังในการบริหารจัดการเงินกู้ ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลยังคงมุมมองที่ดีต่อภาคการคลังที่แข็งแกร่งของประเทศไทยด้วย
     นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่างบประมาณทุกบาททุกสตางค์จะถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับประชาชน ประเทศชาติ มีความโปร่งใส ไม่มีการทุจริตในการใช้งบประมาณสามารถตรวจสอบได้ เพื่อให้ประเทศพ้นวิกฤติโควิด-19 ไปให้ได้  
    “นายกฯ มีความเป็นห่วงประชาชนทุกคน และจะทำทุกอย่างเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย ประเทศเดินหน้าไปได้ รวมถึงให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนให้น้อยที่สุด ดังนั้นขอให้ประชาชนทุกคนมั่นใจนายกฯ รัฐบาลในการทำงาน และใช้งบประมาณมาแก้ไขปัญหาให้กับประเทศและประชาชนทุกคน พร้อมกันนี้ยังขอให้ฝ่ายค้านที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ กล่าวโจมตีนายกฯ รัฐบาลในเรื่องของการใช้งบประมาณได้เข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ และความจำเป็นที่จะต้องใช้งบประมาณเข้ามาแก้ไขปัญหา และขอให้หยุดสร้างความสับสนให้ประชาชน แล้วหันมาร่วมมือกันช่วยเหลือประชาชนจะดีกว่า ที่จะคอยขัดแข้งขัดขาวิพากษ์วิจารณ์โจมตีรายวัน เหมือนคนตกงานว่างงาน ไม่มีอะไรทำ" นายเสกสกลกล่าว.
   


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"