หลักฐานโควิด-19 มาจากห้องทดลองอู่ฮั่น


เพิ่มเพื่อน    

 

ภาพ : หยุดเกลียดชังคนเอเชีย   ที่มา : https://news.harvard.edu/gazette/story/2021/03/a-long-history-of-bigotry-against-asian-americans/

------------------------------

      กระแสจีนเป็นผู้สร้างโควิด-19 กำลังมาแรงอีกรอบ สัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐอ้างเอกสารหน่วยข่าวกรองระบุว่า มีเหตุผลให้เชื่อว่านักวิจัยหลายคนในสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น (Wuhan Institute of Virology) ป่วยด้วยอาการของโควิด-19 กับอาการหวัดธรรมดาตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วง 2019 เกิดคำถามว่าจริงหรือที่คนในสถาบันไม่มีใครป่วยด้วยโควิด-19

            ข้อกล่าวหาที่ชัดเจนคือ นักวิจัย 3 คนล้มป่วยในเดือนพฤศจิกายน 2019

            ด้านรัฐบาลจีนย้ำว่าไม่มีใครป่วยก่อน 8 ธันวาคม 2019 (ก่อนทางการจีนประกาศพบโควิด-19) ข้อมูลที่อ้างเป็นข้อมูลเก่าของหน่วยข่าวกรองสหรัฐ อันที่จริงแล้วสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น (Wuhan Institute of Virology) ไม่ได้ศึกษาเรื่องใดๆ เกี่ยวกับโควิด-19 ก่อน 30 ธันวาคม 2019 Shi Zhengli ผู้ดูแลศูนย์กล่าวเมื่อต้นปี 2021 ว่าได้ตรวจสอบทีมงานทุกคนไม่พบว่าใครมีแอนติบอดีโควิด-19 และไม่มีการเปลี่ยนตัวทีมงานแต่อย่างไร

            ในกรณีเช่นนี้รัฐบาลสหรัฐควรเปิดเผยข้อมูลให้ครบถ้วนว่านักวิจัย 3 คนที่ป่วยคือใคร แสดงหลักฐานล้มป่วย ฯลฯ ให้นานาชาติ องค์กรระหว่างประเทศช่วยกันตรวจสอบ หาไม่แล้วจะเป็นเหมือนอดีตที่บอกว่ามีหลักฐานแต่ไม่ยอมแสดงหลักฐาน ไม่เป็นแบบอย่างประเทศประชาธิปไตย

ย้อนรอยรัฐบาลสหรัฐมีหลักฐานไหม:

            หากอ้างว่ามีข้อมูล ถ้าเช่นนั้นสามารถแสดงหลักฐานได้เลย อันที่จริงแล้วสมัยประธานาธิบดีทรัมป์เคยพูดเรื่องนี้ ต้นเดือนพฤษภาคม 2020 (ปีก่อน) ทรัมป์พูดถึงประเด็นไวรัสหลุดจากห้องทดลองจีน อาจเป็นความผิดพลาดของห้องทดลองหรือจงใจให้ผิดพลาด ในขณะนั้นองค์การอนามัยโลกขอหลักฐาน แต่จนบัดนี้รัฐบาลสหรัฐไม่เคยแสดงหลักฐาน

            มาวันนี้รัฐบาลไบเดนยกประเด็นนี้อีก ถ้าหลักฐานมีจริงสามารถยื่นองค์การอนามัยโลก เปิดเผยให้ชัดเจนต่อสาธารณะได้เลย

            การที่บางคนมักใช้คำว่าไวรัสโรคโควิด-19 มาจากสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น พยายามยกข้ออ้างที่ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐาน ชักนำให้คนอื่นเข้าใจว่าโควิด-19 มาจากห้องทดลองอู่ฮั่น อาจเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) เพื่อบ่อนทำลายผู้อื่น

ใช้ตรรกะแบบวิทยาศาสตร์:

            แอนโทนี เฟาซี (Anthony Fauci) ผู้มีบทบาทสูงต่อการควบคุมโรคระบาดโควิด-19 ของสหรัฐ กล่าวว่า จริงๆ แล้วตนไม่มั่นใจว่าโควิด-19 มาจากธรรมชาติ ควรศึกษาสำรวจในจีนเพิ่มอีกจนสุดความสามารถเพื่อให้ได้คำตอบ ผู้ที่เคยเข้าไปตรวจสอบกล่าวว่าน่าจะมาจากชิ้นส่วนสัตว์แล้วแพร่เชื้อมาสู่มนุษย์ แต่อาจเป็นอย่างอื่นก็ได้ ตนไม่มีข้อมูลใดๆ ที่บอกว่าจีนเป็นผู้สร้างหรือไม่

            ล่าสุด 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา เฟาซีกล่าวต่อรัฐสภาว่า ตนยังคิดว่าเป็นไปได้สูงที่โควิด-19 เกิดจากธรรมชาติ แต่เนื่องจากไม่สามารถยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์จึงเห็นควรตรวจสอบต่อไป

            บางคน บางสื่อพยายามอ้างคำพูดของเฟาซีเพียงครึ่งเดียว เพื่อชี้ว่าโควิด-19 ไม่ได้มาจากธรรมชาติ อันที่จริงแล้วข้อสรุปที่เฟาซีให้ไว้คือ “ไม่รู้จริงๆ ว่าโควิด-19 มาจากอะไร” แม้น่าจะเกิดจากธรรมชาติมากกว่า และไม่ได้สรุปว่ามาจากห้องทดลองหรือมนุษย์สร้างขึ้น

            ข้อสรุปของเฟาซีเป็นข้อสรุปแบบวิทยาศาสตร์ เพราะจนบัดนี้ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าโควิด-19 เริ่มต้นอย่างไร แต่น่าจะมาจากธรรมชาติมากกว่า

            เดือนพฤษภาคม องค์การอนามัยโลกยืนยันอีกครั้งว่าแนวคิดที่ว่าโควิด-19 หลุดออกจากห้องทดลองนั้นไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น (extremely unlikely) แต่ยอมรับว่าทีมที่ตรวจสอบในจีนยังทำงานไม่มากพอ (extensive enough) เห็นควรตรวจสอบเพิ่มเติม

            ความจริงคือไม่มีใครเห็นตอนเกิดเชื้อโควิด-19 ตัวแรก ความรู้วิทยาศาสตร์บอกได้แต่ว่าในธรรมชาติเชื้อโรคกลายพันธุ์ตลอดเวลา (เชื้อโรคในที่นี้คือบรรดาเชื้อโรคทุกชนิด) โควิด-19 คือเชื้อโรคอีกชนิดที่มาจากการกลายพันธุ์

            อธิบายเพิ่มเติมว่า เดิมมนุษย์รู้จักกลุ่มไวรัสโคโรนา (coronavirus) เพียงแค่ 6 สายพันธุ์ ไวรัสโคโรนา 2019 หรือที่มักเรียกว่าเชื้อโรคโควิด-19 เป็นสายพันธุ์ที่ 7 สายพันธุ์ล่าสุดที่ค้นพบ

            โควิด-19 มีชื่ออย่างเป็นทางการว่าไวรัสโคโรนา 2019 หรือ SARS-CoV-2 จัดอยู่ในตระกูล Beta-coronavirus เหมือนกับ SARS-CoV (โคโรนาไวรัสซาร์ส) และ MERS-CoV (โคโรนาไวรัสเมอร์ส)

            ในอดีตมนุษย์พบสายพันธุ์ใหม่ “โคโรนาไวรัสซาร์ส” หรือโรคซาร์สแพร่ระบาดหนักเมื่อปี 2002 มีผู้ติดเชื้อ 8 พันคนใน 30 ประเทศทั่วโลก เสียชีวิต 774 ราย นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเชื้อโรคซาร์สมาจากการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ

            โควิด-19 คือเชื้อใหม่ทำนองเดียวกับโรคซาร์สในอดีต และอนาคตน่าจะมีไวรัสก่อโรคระบาดอีกตามธรรมชาติของไวรัส

            กรณีโควิด-19 วิทยาศาสตร์ให้คำตอบว่า “น่าจะ” เป็นการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ (นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามาจากสัตว์จำพวกค้างคาวเพราะมีพันธุกรรมใกล้เคียงมาก) ข้อนี้เป็นเหตุให้เกิดความคิดเห็นต่างๆ นานา แต่ไม่ว่าใครจะยึดว่ามาจากธรรมชาติหรือมนุษย์สร้างต้องพูดด้วยเหตุผล มีหลักฐานรองรับ ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิดที่พูดได้เรื่อยๆ เช่น โควิด-19 เป็นผลงานของ CIA บางคนคิดว่าเป็นแผนลดประชากรโลกของบางคนบางกลุ่ม เชื้อสามารถแพร่ผ่านเสาส่งสัญญาณ 5G มีไมโครชิปควบคุมมนุษย์อยู่ในวัคซีน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ไร้หลักฐาน (เช่น ตัวไมโครชิปในวัคซีนมีผู้พบเจอแล้วบ้างไหม)

เทคนิคทำให้สงสัยและคิดเอาเอง:

            ถ้าคำว่า “Chinese Virus” หมายถึงมีต้นกำเนิดที่ “ประเทศจีน” ถือว่าถูกต้อง แต่เทคนิคของใครบางคนใช้คำนี้ในความหมายกำกวม พูดเป็นนัยว่า “รัฐบาลจีน” สร้างขึ้นมา เพื่อคนที่คล้อยตามจะโทษจีน วิธีการของคนพวกนี้จะพูดโดยใช้ข้อมูลบางอย่างรวมทั้งข้อมูลเท็จ พูดชวนให้สงสัย (เช่น มีแหล่งข่าวบอกว่าหลุดจากห้องทดลอง) แทนที่จะเชื่อข้อสรุปที่น่าจะเป็นไปได้มากกว่า กลับเชื่อข้อสงสัยที่เป็นไปได้น้อยกว่า

            และเนื่องจากวิทยาศาสตร์ยังไม่อาจให้ข้อสรุปแบบฟันธง 100 เปอร์เซ็นต์ พวกที่ตั้งใจเล่นงานจึงพยายามสร้างเรื่องชวนให้สงสัยต่อเนื่อง พูดซ้ำไปซ้ำมา ทำให้เป็นข่าวอยู่เสมอ ฯลฯ เพื่อตอกย้ำให้คิดว่าเป็นไวรัสที่มนุษย์สร้างขึ้น ความจริงคือ ทุกครั้งที่เป็นข่าว หลายสื่อจะลงเอยด้วยประโยคว่ารัฐบาลสหรัฐ “ไม่มีหลักฐาน” ชี้ชัด แต่นั่นแหละรัฐบาลสหรัฐ นักการเมืองบางคน สื่อบางสำนักยังคงตั้งคำถามและพูดต่อไปว่าน่าจะเป็นฝีมือจีน เป็นเทคนิคบ่อนทำลายฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อมูลเท็จ ข่าวเท็จ (fake news)

กระแสเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาติคนเอเชีย:

            การที่รัฐบาลทรัมป์พยายามชี้ว่าโควิด-19 เป็น “Chinese Virus” ก่อกระแสต่อต้านคนเอเชียในอเมริกา เป้าหมายจริงๆ น่าจะเป็นคนจีนแต่เนื่องจากคนอเมริกันแยกไม่ออกว่าเป็นจีน เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียดนาม หรือไทย คนหลายประเทศจึงถูกทำร้าย โดนรังแกจากกระแส “Chinese virus” ที่รัฐบาลสหรัฐสร้างขึ้น

            ฮิลลารี คลินตัน (Hillary Clinton) กล่าวว่า “ประธานาธิบดี (ทรัมป์) ใช้ถ้อยคำเหยียดผิวเพื่อปกปิดความล้มเหลวที่ไม่ได้จัดการไวรัสโคโรนาอย่างจริงจังตั้งแต่ต้น” ขอให้ใครอย่าหลงกล

            Dr. Amy Zhang จาก รพ.ของ University of Washington กล่าวว่า “การเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาติน่ากลัวมากกว่าไวรัส (โควิด-19)” “คุณไม่รู้ตัวหรอกว่าจะถูกทำร้าย ถูกรังแกเมื่อไหร่”

                การเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาติ การละเมิดสิทธิมนุษยชนในอเมริกาจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 1-2 ปีนี้ ผลจากการคิดไปเองว่าคือไวรัสฝีมือคนจีน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์สร้างจีนให้เป็นศัตรู

            ทุกครั้งที่พบพวกที่ติดใจต้นกำเนิดโควิด-19 น่าจะตั้งคำถามกลับว่าทำไมคนนั้นเอ่ยเรื่องนี้ พวกเขาต้องการอะไร ใครที่พยายามพูดชี้นำไปทางใด คนนั้นกำลังสร้างหลักฐานผูกมัดตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ โควิด-19 เป็นฝีมือมนุษย์หรือมาจากธรรมชาติจะเป็นเรื่องที่พูดกันอีกนาน ขึ้นกับเจตนาของผู้พูดว่าบรรลุเป้าหมายแล้วหรือยัง

------------------------------
 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"