นอนคุกอีกราย “อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ หลังมอบตัว ศาลไม่ให้ประกัน ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เผย “อดีตพระธงชัย” คืนแรกนอนไม่หลับ อนุโลมให้นุ่งขาว “กมล” ลั่นแก๊งเปรตยังมีอีก ไม่จบแค่ล็อต 4 โวยุทธการปราบโกงต้องทำจนทุกวัดขาวสะอาด “วิษณุ” แนะชาวพุทธให้คิดเป็นสมมติสงฆ์
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 พ.ค. เวลา 10.30 น. อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์ (พระเมธีสุทธิกร) (สังคม สังฆะพัฒน์) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหารพร้อมทนายความ เข้าพบ พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) และ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผู้บังคับการกองปราบปราม (รอง ผบก.ป.) เพื่อเข้ามอบตัว หลังจากถูกศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางออกหมายจับในคดีเงินทอนวัด ฐานความผิดข้อหาสนับสนุนเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์, ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน หลังก่อนหน้านี้ได้มีการประสานติดต่อนัดหมายก่อนเข้าพบในช่วงค่ำวันที่ 30 พ.ค.
ทันทีที่พระสังคมเดินทางมาถึงกองปราบปราม ได้ใช้บันไดด้านข้างเดินขึ้นไปในอาคาร เพื่อหลีกเลี่ยงสื่อมวลชนทุกแขนงที่เฝ้ารอติดตามทำข่าวเป็นจำนวนมาก โดยหลังเข้าพบคณะพนักงานสอบสวน ได้มีการถ่ายรูป พิมพ์ลายนิ้วมือ แจ้งข้อกล่าวหา ทำประวัติ จากนั้นแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจได้เข้าตรวจร่างกายตามขั้นตอน ก่อนสอบปากคำ ซึ่งเป็นไปอย่างเคร่งเครียด โดยใช้เวลานานร่วม 5 ชั่วโมง ซึ่งพระสังคมยังคงให้การปฏิเสธ
จากนั้นเวลา 14.45 น. พ.ต.อ.ชาคริตพร้อมคณะได้คุมตัวพระสังคมไปขออำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางฝากขัง โดยไม่ได้มีการให้ข้อมูลใดๆ กับสื่อมวลชน
ต่อมาในเวลา 15.10 น. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พ.ต.ท.ธนินท์รัฐ อ่วมเจริญพร พนักงานสอบสวน บก.ป.ได้ควบคุมตัวพระสังคม อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฟอกเงินทุจริตเงินงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในโครงการอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม มายื่นฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.-11 มิ.ย.นี้
คำร้องของพนักงานสอบสวนระบุพฤติการณ์สรุปว่า พศ.ได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 10 ล้านบาทให้กับวัดสระเกศฯ โดยวัดสระเกศฯ ได้เปิดบัญชีธนาคารกรุงไทยในชื่อวัดสระเกศฯ เพื่อการพัฒนาในการรับเงินประมาณดังกล่าวมา ซึ่งมีการระบุนำมาเป็นเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนปริยัติธรรมแผนกสามัญ แต่จากการตรวจสอบไม่มีการเปิดโรงเรียนดังกล่าว โดยผู้ต้องหาและอดีตพระราชกิจจาภรณ์ หรืออดีตเจ้าคุณเทอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ได้ร่วมกันเบิกถอนเงินจากบัญชี 5 ครั้งในปี 2558 ซึ่งการกระทำนั้นเป็นการร่วมซุกซ่อนเงินที่ได้จากการกระทำผิดตามความผิดมูลฐานการฟอกเงินที่นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานนท์ อดีตผู้อำนวยการ พศ.กับพวกได้กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่โดยการทุจริต อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 157 และ 162 โดยมีนายทวิช สังข์อยู่ ซึ่งถูกยื่นคำร้องฝากขังไปแล้วเมื่อวันที่ 24 พ.ค.2561 ที่เกี่ยวข้องกับ บริษัท ดีดีทวีคูณฯ ซึ่งรับผลิตสื่อให้วัดสระเกศฯ เป็นผู้ร่วมการกระทำความผิดเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากนั้นด้วย
ค้านประกันพระสังคม
ซึ่งท้ายคำร้องพนักงานสอบสวน บก.ป.ได้ขอคัดค้านการให้ประกันตัวผู้ต้องหาด้วย เนื่องจากยังสอบสวนรวบรวมพยานเอกสารไม่เสร็จสิ้นทั้งหมด จึงเกรงว่าหากปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาอาจไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนดำเนินคดี
กระทั่งเวลา 16.00 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคำร้องฝากขัง โดยสอบถามพนักงานสอบสวนถึงเหตุจำเป็นการฝากขัง ซึ่ง พ.ต.ท.ธนินท์รัฐแถลงยืนยันเหตุผลตามคำร้อง ส่วนทนายความผู้ต้องหาแถลงคัดค้านระบุว่า กรณีของผู้ต้องหาได้เข้ามอบตัวเอง ส่วนพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนอ้างตามคำร้อง พฤติการณ์ระบุว่า พศ.จัดสรรงบประมาณให้วัดสระเกศฯ แล้วมีการถอนเงินจากบัญชีโดยกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งการรวบรวมเอกสารดังกล่าว ก็น่าจะเสร็จสิ้นเพียงพอ จึงไม่จำเป็นจะต้องฝากขังอีก
ขณะที่ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ส่วนที่ทนายความแถลงคัดค้านว่าได้มอบตัวเองนั้น เป็นกรณีเรื่องที่เกี่ยวกับการประกันตัวเพื่อให้ศาลพิจารณาต่อไป ส่วนความจำเป็นของการฝากขัง ต้องพิจารณาว่าการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ ซึ่งศาลเห็นว่าเมื่อพนักงานสอบสวนยืนยันต้องสอบพยานอีก 10 ปาก โดยจะเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ดังนั้น กรณีนี้จึงมีเหตุจำเป็นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 87 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 6 จึงอนุญาตให้ฝากขังตามคำร้องเป็นเวลา 12 วัน
ต่อมาเมื่อเวลา 16.20 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวพระสังคม ผู้ต้องหาที่ศาลอนุญาตฝากขังแล้วลงจากห้องพิจารณาคดี (ห้องเวรชี้) มายังห้องควบคุมชั้นใต้ดินเพื่อรอฟังผลการขอปล่อยชั่วคราวระหว่างการฝากขังนี้
ขณะที่ลูกศิษย์ซึ่งเป็นฆราวาส เตรียมหลักทรัพย์ 500,000 บาท รอยื่นประกันตัวชั้นฝากขัง
ทั้งนี้ การนำตัวมาฝากขัง พระสังคมผู้ต้องหาถูกคุมตัวนั่งมาในรถยนต์โตโยต้า คัมรี สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ศษ 5832 โดยมีรถตำรวจ บก.ป.นำและติดตามขบวน 2 คัน ซึ่งพระสังคมถือเป็นพระรูปที่ 7 ที่พนักงานสอบสวน บก.ป.นำตัวส่งฝากขังศาลในคดีเงินทอนวัด
ในเวลา 17.20 น. ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิจารณาคำร้องและหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวแล้ว ไม่อนุญาตให้ประกันตัวพระสังคม ด้วยเหตุผลเดียวกับผู้ต้องหาคดีที่เกี่ยวข้องกับเงินทอนวัดและฟอกเงินอุดหนุนการศึกษาที่กระทำกันเป็นขบวนการ เจ้าหน้าที่ พศ.และราชทัณฑ์ จึงถอดจีวรทำการสึกพระผู้ต้องหา เพื่อนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำระหว่างการฝากขังต่อไป
มีรายงานแจ้งว่า เดิมมีกระแสว่าทนายความของอดีตพระพรหมสิทธิ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ จะยื่นอุทธรณ์การขอประกันตัว แต่ปรากฏว่าตลอดทั้งวันจนสิ้นสุดเวลาทำการของศาลอาญาคดีทุจริตฯ ทนายความก็ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์แต่อย่างใด
อนุโลมให้แต่งขาว
ขณะที่นายกฤช กระแสร์ทิพย์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงอดีตพระพรหมสิทธิว่าช่วงเย็นวันที่ 30 พ.ค. หลังรับตัวอดีตพระพรหมสิทธิ ก็ตรวจร่างกายทำประวัติตามขั้นตอนปกติ ซึ่งพบว่ามีโรคประจำตัวของผู้สูงอายุ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง และภูมิแพ้ โดยจะให้แพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด สำหรับการนอนเรือนจำคืนแรก ทราบว่ามีอาการนอนไม่ค่อยหลับ เพราะอาจไม่คุ้นเคยสถานที่ คาดว่าใช้เวลาปรับตัวระยะหนึ่ง แต่ช่วงเช้าที่ผ่านมาได้รับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว
“เรือนจำยังอนุโลมให้อดีตพระพรหมสิทธิแต่งกายเป็นเสื้อยืดและกางเกงสีขาวเพื่อไม่เป็นการกดดันหรือให้วิตกกังวลเกินไป ซึ่งอดีตพระพรหมสิทธิก็ไม่ได้ร้องขออะไรเป็นพิเศษ โดยเรือนจำได้คุมขังในแดนแรกรับไปก่อน ประมาณสัปดาห์หน้าจึงค่อยย้ายแดนตามความเหมาะสม” นายกฤชกล่าว
วันเดียวกัน ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีคดีทุจริตเงินทอนวัดล็อต 4 ว่า ปปป.อยู่ระหว่างตรวจสอบวัดทั่วประเทศที่ได้รับงบประมาณจาก พศ.มากกว่า 1 ล้านบาท ในช่วงปี 2555-2560 ซึ่งพบการกระทำความผิดบ้างแล้ว แต่ต้องรอให้ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการ พศ.เข้าร้องทุกข์กับ ปปป.ให้ชัดเจนก่อน ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ร้องทุกข์ใดๆ แต่ที่ผ่านมา ปปป.ได้ประสานข้อมูลกับ พศ.มาโดยตลอด โดยล็อตนี้ยังดำเนินคดีกับข้าราชการกลุ่มเดิม ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่กระทำยังคงเป็นข้าราชการของ พศ.ที่ดำรงตำแหน่งในช่วงปี 2555-2560 ที่ถูกดำเนินคดีไปแล้วจากคดีทุจริตเงินทอนวัดก่อนหน้านี้ เพราะเป็นผู้มีอำนาจในการเบิกจ่ายและโอนเงินในช่วงดังกล่าว
“ล็อตนี้อาจยังไม่ใช่ล็อตสุดท้ายที่จะถูกดำเนินคดี เพราะ ปปป.ต้องตรวจสอบไปจนกว่าจะไม่พบวัดที่กระทำความผิด” พล.ต.ต.กมลกล่าว
สำหรับกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โอนสำนวนคดีเงินทอนวัดล็อต 2 กลับมาให้ ปปป.ดำเนินการนั้น พล.ต.ต.กมลระบุว่า ขอบคุณ ป.ป.ช. เพราะเป็นเรื่องที่ดีที่ ป.ป.ช.มองเห็นศักยภาพของ ปปป. อีกทั้งยังเป็นอำนาจหน้าที่ที่ ปปป.จะดำเนินการได้ ซึ่งหลังจากรับสำนวนกลับมาแล้ว ปปป.จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย และส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาได้ทันที
คดีเงินทอนวัดนั้น มีการดำเนินการไปแล้ว 3 ล็อตมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 340 ล้านบาท และเป็นการตรวจสอบทุจริตงบใน 3 งบประมาณ คือ งบบูรณปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัด งบอุดหนุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม โดยวัดสระเกศฯ ที่ถูกดำเนินคดีในล็อตที่ 3 นี้ ถือเป็นการทุจริตงบสูงที่สุดกว่า 150 ล้านบาท
แนะคิดเป็น "สมมติสงฆ์"
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ถึงการดำเนินคดีกับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในขณะนี้ โดยระบุว่า ไม่ทราบว่านายกฯ กังวลเรื่องนี้หรือไม่ ต้องถามท่านเอง ทั้งนี้ ส่วนตัวไม่ตกใจกับข่าวที่เกิดขึ้น เพราะเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับการซื้อขายตำแหน่งในวงการสงฆ์มาเหมือนกัน เยอะมากหลายเรื่อง แต่ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง ดังนั้นจะเอาสิ่งที่ได้ยินมาแบบนี้มาเป็นสาระไม่ได้ เพราะบางทีสิ่งที่ได้ยินมันก็เว่อร์เกินไป
เมื่อถามว่า การดำเนินคดีกับพระสงฆ์จะมีที่สูงกว่านี้อีกหรือไม่ นายวิษณุกล่าวทันทีว่า ไม่ทราบ เพราะไม่ได้รับผิดชอบเรื่องนี้ ส่วนเรื่องของศรัทธาประชาชนนั้น พระพุทธเจ้าสอนว่า อย่าไปยึดอย่างอื่น ให้ยึดพระรัตนตรัย ซึ่งก็คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งพระสงฆ์คือสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่หมายถึงพระอรหันต์ แต่บัดนี้ไม่มีพระอรหันต์ เราก็เรียกท่านเป็นสมมติสงฆ์
“วันนี้เราไหว้ในสิ่งที่สมมติ จะเป็นการสมมติจริงหรือปลอมก็ได้ แต่ของจริงมันมีอยู่ เราไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นพระของจริงหรือปลอม เพราะของจริงเราไม่เห็น ขอให้รู้เพียงว่าพระพุทธคืออะไร พระธรรมคืออะไร และพระสงฆ์ของจริงคืออะไร ให้คิดว่าเป็นสมมติสงฆ์ แค่นี้ก็จบ ก็สบายใจแค่นั้น ตอนที่เราไหว้พระ ก็ขอให้เรานึกเสมอว่าเราไหว้สมมติสงฆ์ คิดอย่างนี้แล้วเราก็จะได้สบายใจ สำหรับผมที่ผ่านมาไม่ค่อยได้ไปวัดเท่าไหร่ จะไปก็ต่อเมื่อถูกเชิญไปตอนวัดมีงาน ซึ่งวัดและพระอาจารย์ที่ผมเลื่อมใสศรัทธาคือวัดราชบพิธฯ” นายวิษณุกล่าว
นายวิษณุยังตอบคำถามว่าชีวิตนี้จะบวชหรือไม่ว่า เคยสนทนาธรรมกับพระเจสัน ยัง โดยได้ถามว่าจะบวชตลอดชีวิตหรือ ซึ่งพระเจสัน ยังบอกว่า ไม่หรอก บอกเพียงว่าขณะนี้ยังไม่คิดสึก แต่เมื่อไหร่คิดจะสึกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงบอกว่าดีแล้ว อย่าไปบอกใครเด็ดขาดว่าจะไม่สึก เช่นเดียวกับตนเอง ก็จะไม่บอกใครเหมือนกันว่าจะบวชหรือไม่บวช เพราะของอย่างนี้อยู่ที่วาสนา บางคนต้องบวช เพราะเขาต้องการเอาผ้าเหลืองเป็นที่พึ่ง เพื่อให้อยู่รอดปลอดภัย
ถามต่อว่า อยู่ในผ้าเหลืองจะอยู่รอดปลอดภัยจริงหรือ นายวิษณุกล่าวว่า พระบางรูปใช้ผ้าเหลืองหลบภัยก็หลบได้ เพราะก็หลบกันเยอะแยะแล้ว ถามย้ำอีกว่า แต่ตอนนี้พระหลายรูปก็เปลี่ยนสถานะไปแล้ว จะอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่รู้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าจะจัดระเบียบพุทธพาณิชย์ นายวิษณุกล่าวว่า เอาไว้ก่อน รอให้มีความชัดเจนก่อนแล้วค่อยมาพูดกันอีกครั้ง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |