ด่าเอามัน...ขยันกล่าวหา


เพิ่มเพื่อน    

       สี จิ้นผิง เขาบอกกับคนจีนว่า ถ้าจะให้ประเทศจีนพ้นจากวิกฤติโควิด คนจีนจะต้องปฏิบัติตามหลักการ 3 ไม่ กล่าวคือ

            1.ไม่สร้างความสับสน แค่ข้อนี้ข้อเดียว เมืองไทยเราก็แย่แล้ว เพราะเวลานี้แม้แต่ฝ่ายรัฐบาลด้วยกันเองก็พูดจาไปคนละทิศคนละทาง จนประชาชนสับสน ฝ่ายการเมืองกับฝ่ายข้าราชการประจำก็ไม่มีความเป็นเอกภาพ แม้แต่หมอเองก็พูดไม่ตรงกัน หมอใน ศบค.ไปทาง หมอที่ไม่ได้อยู่ใน ศบค.ไปอีกทาง แต่ละคนก็ล้วนแต่เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ มีคุณวุฒิ เป็นผู้เชี่ยวชาญ แล้วประชาชนจะเชื่อใครดี แค่ข้อแรกข้อเดียวเราก็ลำบากแล้ว ดังนั้นก็ขอร้องให้ท่านทั้งหลายช่วยพูดจาให้ตรงกัน อย่าทำให้ประชาชนสับสนจนทำตัวไม่ถูกเลยนะคะ

            2.ไม่ทำลายศรัทธา เรื่องนี้คงต้องถามคนที่กล่าวหาว่ารัฐบาลล้มเหลวในการจัดการโควิด อยากจะด้อยค่านายกรัฐมนตรี แต่หยิกเล็บมันก็เจ็บเนื้อ คำกล่าวหา ด่าทอต่อว่านั้น มันไม่ได้ด้อยค่าการทำงานของนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่มันด้อยค่าอาจารย์หมอใน ศบค.ที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาและคำแนะนำกับนายกรัฐมนตรีด้วย ว่าจะต้องประกาศมาตรการอะไร การที่ผู้คนเขาจะปฏิบัติตามมาตรการที่ทางการประกาศออกมา เขาจะต้องศรัทธาคนที่เป็นผู้ประกาศ แต่ความพยายามด้อยค่ามาตรการต่างๆ ที่ทางการประกาศออกมา เพื่อแสดงว่านายกรัฐมนตรีไม่เอาไหน อาจจะทำให้คนเชื่อข้อความที่ใช้ในการด้อยค่ารัฐบาลนั้น ทำลายศรัทธาที่ประชาชนมีให้คณะหมอผู้เชี่ยวชาญด้วย และอีกศรัทธาหนึ่งที่จงใจทำลายกันในเวลานี้ก็คือ ศรัทธาที่ประชาชนควรจะมีให้กับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน จนเกิดปัญหาประชาชนจำนวนหนึ่งไม่ยอมฉีดวัคซีนที่รัฐบาลหามาได้ เป็นอุปสรรคสำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ การทำเช่นนี้ไม่เป็นผลดีกับประเทศชาติเลยแม้แต่น้อย

            3.ไม่สร้างความแตกแยก เวลานี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในสภาวะของความแตกแยก มีการแบ่งเป็นสีนั้น สีนี้ มีการแบ่งกลุ่มแบ่งพวก มีการด่าทอกันไปมา บางกลุ่มก็ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ต่ำตมและรุนแรง แบบที่อีกฝ่ายนั้นรับไม่ได้ ความพยายามของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้ประเทศไทยมีความปรองดองนั้น ดูเหมือนไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ในยามที่เรากำลังเผชิญกับวิกฤติของโรคระบาดที่รุนแรงเช่นนี้ เราต้องการความสามัคคี เพื่อที่จะได้ร่วมมือร่วมใจกันแก้ปัญหาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเวลานี้ รัฐบาลไปซ้าย ฝ่ายค้านจะไปขวา และแนวร่วมของทั้งสองฝ่ายก็จะออกมาดรามาด่ากันไปมา บางครั้งถ้อยคำก็รุนแรงแบบชนิดอภัยกันไม่ได้ มีเรื่องฟ้องร้องกันไปมา เปลี่ยนกันเป็นโจทก์ เปลี่ยนกันเป็นจำเลย มีคดีรกศาลด้วยเรื่องมโนสาเร่

            แค่เพียง 3 ไม่ เราก็แทบจะไม่มีความหวัง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขอคิดต่อว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เราคนไทยควรจะมี “ไม่” เพิ่มเติมอีกหลายไม่ เพื่อให้เราสามารถผ่านพ้นวิกฤติโควิดได้ แล้วกลับมาใช้ชีวิตที่เป็นสุขและไร้กังวล และทำมาหากินกันให้ได้เต็มที่อย่างที่เคยเป็น วิกฤติครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เราต้องใช้ความพยายามอย่างจริงจัง เข้มข้น และเราต้องปฏิบัติร่วมกันด้วยจิตสาธารณะ ขอคิดเพิ่มดังนี้นะคะ

            4.ไม่ละเลยมาตรการที่หมอแนะนำ คุณหมอผู้มีความเชี่ยวชาญทั้งหลาย ท่านเป็นคนเก่ง ท่านมีความหวังดีกับพวกเรา ท่านต้องการให้พวกเราปลอดภัย ดังนั้นท่านจึงกำหนดมาตรการในการปฏิบัติตนมาให้พวกเรา เมื่อท่านประกาศออกมาด้วยการพิจารณาใคร่ครวญเป็นอย่างดี และด้วยความปรารถนาดีกับพวกเรา ดังนั้นเราไม่ควรละเลยที่จะปฏิบัติตามมาตรการที่หมอกำหนด

            5.ไม่ปล่อยข่าวลวง การที่ประชาชนมีความสับสนเวลานี้ นอกจากฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานจะพูดจาไม่ตรงกันแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ประชาชนสับสนก็คือ การปล่อยข่าวลวงข่าวเท็จ บางคนก็ปล่อยข่าวลวงข่าวเท็จด้วยเจตนาที่ชั่วร้าย มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง บางคนก็อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ตรวจสอบข้อมูล ไม่แสวงหาข้อเท็จจริง ได้ยินได้ฟังอะไรมาก็นำเอาไปบอกต่อ ข่าวลวงเหล่านี้ไม่เป็นผลดีเลย เพราะมันนำไปสู่การทำลายศรัทธาและการสร้างความแตกแยก

            6.ไม่เชื่อ/ไม่แชร์ข่าวลวง นอกจากการไม่ปล่อยข่าวลวงด้วยตนเองแล้ว เวลาได้รับข่าวสารอะไรอย่ารีบกด Share เพื่อส่งต่อข้อความที่ได้พบเห็น ควรยึดหลัก “เช็ก ชัวร์ เชื่อ แชร์” คือได้ข่าวอะไรที่ดูแปลกๆ ขัดกับตรรกะธรรมชาติที่เรามีก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อ ต้องมีการตรวจสอบกับแหล่งข่าวอื่นๆ ต้องดูว่าใครพูด คนพูดมีจุดยืนทางการเมืองอย่างไร ให้มั่นใจ ก่อนที่จะเชื่อ แล้วจึงกด Share อย่าทำตัวเป็นเสือปืนไว ได้ข่าวอะไรก็กด Share ไปทันทีโดยไม่มีการตรวจสอบ

            7.ไม่ขยายข่าวร้ายเกินจริง เรามีศัพท์คำว่า “ดรามา” ใช้กันอยู่ในเรื่องของการเสนอข่าวสาร พูดคุยกันบนพื้นที่ Social Media ซึ่งหมายถึงการเล่าเรื่องที่ใส่อารมณ์เกินจริง ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ทำเรื่องที่ไม่มีปัญหาอะไรเลย ให้คนมองว่าเป็นปัญหา เพื่อให้เกิดความไม่พอใจใครคนใดคนหนึ่ง องค์กรใดองค์กรหนึ่ง การกระทำใดการกระทำหนึ่ง อย่าพยายามขยายผลของการกระทำบางอย่างให้เป็นเรื่องเลวร้ายที่เกินจริง ที่อาจจะก่อให้เกิดความหวาดกลัว ความวิตกกังวล และความเกลียดชังผู้คน องค์กร และโครงการต่างๆ ที่ไม่เป็นประโยชน์อันใดเลย

            8.ไม่นำเอาเรื่องโควิดไปเล่นการเมือง เวลานี้การช่วยกันทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤติโควิด ให้พวกเรารอดปลอดภัยจากโรคระบาด กลับไปมีชีวิตปกติ และช่วยกันฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศเป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้นไม่ควรจะมีใครคนใดคนหนึ่ง คณะใดคณะหนึ่ง พรรคใดพรรคหนึ่ง เอาเรื่องโควิดไปใช้ในการทำงานการเมืองเพื่อขับไล่รัฐบาล หวังจะให้มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ เวลานี้การสู้กับโควิดเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่ต้องขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือของทั้งสองฝ่าย (Bipartisan Movement) คือฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายต้านต้องร่วมมือกันสู้โดยไม่มีความขัดแย้ง

            9.ไม่ปฏิเสธการฉีดวัคซีน เวลานี้เราต้องการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนทั้งประเทศได้ฉีดวัคซีนมากกว่า 70% ของประชากรทั้งหมด แต่หากมีใครบางคน บางกลุ่ม บางพรรค ยังคงสร้างความหวาดกลัว ทำให้ประชาชนไม่มั่นใจประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน จนมีคนจำนวนมากปฏิเสธที่จะฉีดวัคซีนอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ แล้วเราจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้อย่างไร เราจะกลับไปมีชีวิตปกติสุขอย่างอดีตได้อย่างไร เราจะทำมาหากินฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างไร ดังนั้นเราต้องไม่ปฏิเสธการฉีดวัคซีนกันนะคะ ช่วยกันค่ะ พวกเราต้องทำได้ แล้วเราจะชนะไปด้วยกัน.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"