สถานการณ์การแพร่ระบาดของ ไวรัสมรณะ “โควิด-19” ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ ต้องบอกว่ามีแต่ตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวี่วัน สถานการณ์โลกก็เรียกว่า ใกล้แตะ 165 ล้านคนอยู่รอมร่อ ส่วนของพี่ไทยนั้นหลังจากทะลุแสนรายไปแล้ว ก็ยังคงเดินหน้าแบบฉุดรั้งไม่อยู่ โดยขณะนี้ไทยอยู่อันดับที่ 91 ใน 220 ประเทศและดินแดนเรื่องจำนวนสะสมของผู้ป่วยโควิด-19 แต่หากดู “แนวโน้ม” การติดเชื้อของ ไทย ก็ต้องบอกได้คำเดียวว่าอาจแซง “นอร์เวย์” ที่อยู่อันดับ 90 ในเร็วๆ นี้แน่นอน เผลอๆ อาจไม่เกินสัปดาห์นี้พี่ไทยก็ไต่อันดับที่ต้องบอกว่ายิ่งสูงก็ยิ่งไม่ดีแน่ๆ...๐

แม้ “หมอเบิร์ด” จะแถลงตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่แบบมีข่าวดีจากตัวเลขของผู้ต้องขังติดเชื้อว่า ใน “สัปดาห์หน้า” มีแนวโน้มลดลงและหมดไปก็ตามที หลังจากตัวเลขของกรมราชทัณฑ์ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อไทยพุ่งปรี๊ดมาตลอดทั้งสัปดาห์ แต่ก็ยังไว้วางใจไม่ได้ว่าจะมีอะไรในกอไผ่อีกหรือไม่อย่างไร เพราะต้องไม่ลืมว่าหาก ไม่เกิดกรณี “น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล” หรือ “รุ้ง แกนนำราษฎร” ที่ติดโควิด-19 ก็อาจไม่ได้เห็นตัวเลขแบบนี้ทุกวี่วัน แม้ “กรมราชทัณฑ์” ภายใต้การกำกับของ “อายุตม์ สินธพพันธุ์” อธิบดีกรมคุก และ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม จะออกมานั่งยันนอนยันว่าไม่มีการปกปิดข้อมูลก็ตามที แต่ห้วงเวลาในการแถลงเรื่องดังกล่าวบอกได้คำเดียวว่ามันเป๊ะยิ่งกว่าหนังฮอลลีวูดในแนวทฤษฎีสมคบคิดกันเกินไป...๐

แม้ ตัวเลขผู้ต้องขังจะทรงและหมดไปจากการมองโลกในแง่ดีของ “ศบค.” แต่ตัวเลขคลัสเตอร์แคมป์คนงานยังน่าเป็นห่วง เพราะเริ่มขยับมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจากเดิมก็ระบุว่ามี “27 คลัสเตอร์” ที่ต้องเกาะติด แต่ยังไม่ผ่านพ้นสัปดาห์ดีตัวเลขก็เพิ่มเป็น 34 คลัสเตอร์แล้ว ที่สำคัญ “พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์” ผู้ช่วยโฆษก ศบค.ยังบอกด้วยว่า ถ้าดูจาก 50 เขตใน กทม. พบว่ามีแคมป์คนงานทั้งหมดทุกเขต และมีบางเขตมีมากกว่า 20 แคมป์!!! งานนี้ คงต้องศึกษาจาก “สิงคโปร์” แล้วล่ะทั่นทั้งหลาย ว่าสามารถควบคุมการแพร่ระบาดในแคมป์คนงานได้ชะงัดให้ไม่เกิน 7 หมื่นรายจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร...๐

หันมาดูเรื่อง “ลับมาก” แต่ไม่ลึก อย่างการกู้เงิน 7 แสนล้านบาทในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 และเศรษฐกิจกันบ้าง ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) มาแบบมึนๆ งงๆ แต่ดูเหมือนเสียงส่วนใหญ่จะตอบรับการกู้ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง หรือภาคธุรกิจ เพราะ ต่างรู้ดีว่า “ระลอก 3” นั้นรุนแรงและลุกลามมากกว่าระลอก 1-2 เสียอีก แต่ดูเหมือน “รัฐบาล” ยังดื้อตาใส ไม่รู้ถึงความรุนแรง…๐

ล่าสุด “คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน” หรือ “กกร.” ก็หั่นเป้าจีดีพีจากกรณีนี้แล้วจาก 1.5-3% เป็น 0.5-2% ซึ่งก็เรียกว่ายังเข้าข้างรัฐบาลไม่ให้ติดลบ แต่ที่น่าสนใจคือ “สุพันธุ์ มงคลสุธี” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่ได้เสนอว่า เงินกู้ 7 แสนล้านบาทนั้นต้องเร่งอัดฉีดเยียวยาให้เร็วและมากขึ้น!!! โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งที่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายจาก 3,000 บาท เป็น 6,000 บาท เรียกว่าเป็น การเสนอแบบเกาถูกที่คัน แต่ปัญหาคือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่ทำหน้าที่เป็นวันแมนโชว์เพราะรวบอำนาจ 31 กฎหมายมาอยู่ในมือจะเห็นดีเห็นงามด้วยหรือไม่...๐

งานนี้จะไปหวังการชงการเสนอมาตรการมาตามขั้นตอนทั้งจาก “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน หรือแม้แต่ “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.การคลัง และ “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ก็บอกได้คำเดียวว่า กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้หมดแล้ว ที่สำคัญลองย้อนรำลึกดูก็จะรู้ว่าในการแก้ไขปัญหาโควิดและการเยียวยาที่ผ่านมานั้น “ธปท.” แทบจะไม่มีบทบาทอะไรเลย ทั้งที่เป็น ผู้ดูแลระบบการเงิน รวมทั้งสถาบันการเงินทั้งหลายที่จะทำให้ลูกหนี้ หรือแม้แต่ประชาชนคนทำงานได้หายใจหายคอในช่วงระบาดของไวรัสมรณะ แต่มาตรการที่ออกมากลับกลายเป็นอุ้ม “สถาบัน” กลายๆ โดยเฉพาะเรื่องการพักเงินต้น แต่ไม่ได้พักดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากนับสิบๆ เท่า...๐

จึงไม่น่าแปลกแต่ประการใดที่เสียงเคยอวย เคยชื่นชม “ลุงตู่” นับวันเสียงจะหดหายไป และเสียงไล่เสียงค่อนแคะจะมาแทนที่มากขึ้น ทั้งในซีกของพรรคร่วมรัฐบาลเอง และซีกฝ่ายค้านที่ต้องด่าเป็นนิจสินอยู่แล้ว เพราะ ตั้งแต่ทำตัวเป็น “ซูเปอร์แมน” มีกฎหมายและอำนาจในมือถึง 31 ฉบับ ก็ไม่ได้ทำให้การทำงานรวดเร็วเหมือนกับที่กล่าวอ้าง ในตอนยึดอำนาจ รมต.มาอยู่ในมือแต่อย่างใด ที่สำคัญคือ ยิ่งยังทำตัวเป็นรัฐราชการ “เสาร์-อาทิตย์” คือวันพักผ่อน งานนี้จึงได้เห็นเด็กๆ เริ่มงอแงและโวยวาย โดยเฉพาะในเรื่อง “วอล์กอิน” วัคซีนกันแบบจ้าละหวั่นทีเดียวเชียว...๐

 ...ท.ศักดิ์