19 พ.ค.2564 - นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคไทยสร้างไทย โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี” มีเนื้อหาว่า ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ที่มีความเป็นห่วงใยประเทศเหมือนกับท่านนายกและคนไทยทุกคน แต่ไม่ใช่ในฐานะฝ่ายค้านเพราะผมลาออกจากพรรคเพื่อไทยมานานแล้ว
สำหรับประเด็นที่ผมมีความห่วงใยเป็นพิเศษคือปัญหาเศรษฐกิจ เพราะฐานะทางการคลังของประเทศไม่ได้มีความเข้มแข็งที่จะทำให้เราสามารถทนอยู่กับสภาพแบบนี้ได้นานๆ ท่านนายกฯ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการควบคุมและแก้ปัญหาโควิด-19 เพื่อเร่งให้จีดีพีขยายตัวอันทำให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีลดลงอยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลัง ทำให้เครดิตของประเทศดีขึ้นซึ่งสามารถทำไปพร้อมๆ กันได้
หัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหาทุกเรื่องคือการแก้ที่ต้นตอของปัญหาอันเป็นไปตามหลักธรรมอริยสัจ 4 เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น (trust) อันจะนำมาซึ่งความมั่นใจ (confidence) ในการจับจ่ายใช้สอยและลงทุน
จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2564 ธนาคารพาณิชย์ในประเทศมีเงินฝากทั้งสิ้น 14.799 ล้านล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2563 ประมาณ 200,000 ล้านบาท ที่น่าสนใจคือส่วนที่เป็นบัญชีเงินฝาก 50-100 ล้าน จำนวน 900 บัญชี มูลค่า 890,310 ล้านบาท บัญชีเงินฝาก 100- 200 ล้าน จำนวน 423 บัญชี มูลค่า 781,911 ล้านบาท บัญชีเงินฝาก 200-500 ล้านบาท จำนวน 196 บัญชี มูลค่า 1,007,240 ล้านบาท และบัญชีเงินฝาก 500 ล้านบาทขึ้นไปจำนวน 88 บัญชี มูลค่า 2,468,704 ล้านบาท รวมแล้วเป็นเงิน 5,148,165 ล้านบาท หรือประมาณ 1/3 ของจีดีพี บัญชีที่มีมูลค่ามากขนาดนั้นน่าจะเป็นของนักลงทุนซึ่งหากมั่นใจนำมาลงทุนจะทำให้จีดีพีขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ
ตัวเลขเงินฝากจำนวน 14.799 ล้านล้านบาท ที่ผมกล่าวข้างต้นจะเป็นคุณหากรัฐบาลแก้ไขปัญหาถูกเพราะเงินจำนวนนี้มากเพียงพอที่จะไหลไปสู่การจับจ่ายใช้สอยและลงทุน แต่หากรัฐบาลไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ตัวเลขนี้จะสร้างปัญหาแทน เพราะธนาคารพาณิชย์จะต้องแบกภาระดอกเบี้ยจนต้องเอาสภาพคล่องส่วนเกินไปฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยที่เรียกว่า “ธุรกรรมรับฝากเงิน ณ สิ้นวัน” (Standing Deposit Facilities) ซึ่ง ธปท. จะต้องจ่ายดอกเบี้ยระยะข้ามคืน (Overnight Deposit) ในอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดร้อยละ 0.5 ต่อปี ผลคือทั้งธนาคารพาณิชย์และ ธปท.จะต้องมารับภาระดอกเบี้ยเพราะคนไม่เชื่อมั่นไม่มีการลงทุนทำให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ไม่ได้จนเกิดภาวะที่เรียกว่ากับดักสภาพคล่อง (Liquidity Trap) อันเป็นเหตุให้รองนายกฯ ท่านหนึ่งออกมาเรียกร้องคนไทยให้ไปถอนเงินมาใช้เพื่อกระตุ้นจีดีพีซึ่งก็ถูกของท่าน แต่ท่านคงลืมไปว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องเป็นหลังจากคนไทยเกิดความเชื่อมั่นแล้ว
ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือคนบนโลกใบนี้และคนไทยทุกคนกำลังกลัวตายเพราะไวรัสที่ชื่อว่าโควิด-19 จึงพร้อมใจกันหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อรักษาชีวิต ดังนั้น ท่านนายกฯ จะต้องแก้ปัญหาด้วยการทำให้คนไทยหยุดกลัวตายด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อันเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอของปัญหา ซึ่งหัวใจสำคัญคือวัคซีนและเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบและป้องกันไวรัสดังกล่าว หากคนไทยมั่นใจหยุดกลัวตายก็จะออกมาทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ผมจึงมีความเห็นขอเสนอแนะรัฐบาล ดังนี้
(1) รัฐบาลและทุกฝ่ายควรร่วมมือกันกระตุ้นให้คนไทยทุกคนได้ฉีดวัคซีน เพราะผลสำเร็จของการฉีดวัคซีนตามเป้าหมายจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) ที่นอกจากจะเป็นผลดีต่อสุขอนามัยของคนไทยด้วยกันเองแล้ว ยังจะสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องจักรสำคัญทางเศรษฐกิจทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนรัฐบาลก็จะต้องสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับคุณภาพของวัคซีน จัดทำแผนการฉีดวัคซีนและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการเข้าถึงซึ่งวัคซีนได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรม รวมทั้งการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริงเพื่อหยุดความสับสนทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น
(2) เพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนรวดเร็วยิ่งขึ้นอันจะนำมาซึ่งความเชื่อมั่น รัฐบาลควรเปิดเสรีและอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนที่ได้รับการรับรองคุณภาพจากต่างประเทศแล้ว โดยยกเว้นภาษีนำเข้าและยกเว้นการจดทะเบียน อย. ระยะหนึ่ง ซึ่งท่านนายกฯ สามารถทำได้โดยใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 11 (6) หรือ ครม. จะออกเป็น พ.ร.ก. อีกฉบับก็ทำได้ วิธีการนี้จะทำให้คนไทยมีความเชื่อมั่นและได้รับวัคซีนเร็วขึ้น ส่วนคนไทยที่ไปฉีดวัคซีนเองรัฐบาลก็ควรจะคืนค่าฉีดต่อหัวที่ตั้งไว้ให้คนไทยทุกคนกลับไป
(3) รัฐบาลควรอำนวยความสะดวกและยกเว้นภาษีการนำเข้าเครื่องมือตรวจโควิด-19 แบบรวดเร็ว (Rapid Test) เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เป็นเครื่องมือตรวจสอบด้วยตัวเองได้อันจะเป็นการป้องกันและลดงานของภาครัฐลง
(4) ส่วนคลัสเตอร์คลองเตยซึ่งมีคนติดเชื้อจำนวนหนึ่ง จะต้องหาทางแยกคนติดเชื้อออกมาเพื่อให้คนที่ไม่ติดเชื้อได้ใช้ชีวิตและไปทำงานตามปกติ เพราะคนที่ไม่ติดเชื้อจำนวนเกือบหนึ่งแสนคนคือกำลังการผลิตที่สำคัญของประเทศ
(5) ในส่วนของแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และแรงงานในบ้านพักอาศัย นั้น แทนที่จะปล่อยให้มีการลักลอบเข้าประเทศอันจะนำมาซึ่งความไม่ปลอดภัยต่อคนไทยเองและก่อให้เกิดการทุจริตของเจ้าหน้าที่ รัฐบาลควรอำนวยความสะดวกให้เข้าประเทศได้ตามปกติโดยจัดการฉีดวัคซีนให้แรงงานเหล่านั้น ซึ่งจะทำให้คนไทยใช้บริการแรงงานเหล่านั้นด้วยความปลอดภัยและมั่นใจ รัฐบาลจะต้องระลึกว่าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านไม่ใช่ภาระแต่เป็นหนึ่งของปัจจัยการผลิตอันจำเป็นที่จะมาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
ผมอาจจะไม่มีความแม่นยำในวิธีการทางด้านการสาธารณสุข แต่หัวใจสำคัญคือการทำให้ประชาชนได้รับวัคซีนที่ประชาชนเชื่อมั่นโดยเร็วที่สุด อันจะทำให้เกิดความมั่นใจและกลับมาทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเร็วเป็นผลดีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ผมเชื่อโดยสุจริตว่าคนไทยทุกคนต้องการเห็นบ้านเมืองดีขึ้น
เพื่อให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความปกติโดยเร็ว ผมและพรรคไทยสร้างไทยพร้อมให้ความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจร่วมกัน แต่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้รัฐบาลต้องทำให้คนไทยหายกลัวตายเป็นลำดับแรก เพราะตราบใดที่มนุษย์ยังกลัวตายไม่ว่าจะใส่เงินเข้าไปมากเท่าไรก็จะไม่เกิดผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ โดยหลายประเทศได้พิสูจน์แล้วความกลัวตายของมนุษย์มีมากกว่าความอยากได้ใคร่ดี (Macro fear is greater than macro greed) อย่างแน่นอน ข้อเสนอแนะดังกล่าวผมได้ความรู้และแรงจูงใจจากการอ่านบทความเรื่อง catch-22 ของอาจารย์พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ขอถือโอกาสนี้ขอบคุณอาจารย์ด้วยที่กรุณาให้ความรู้เสมอมา
ด้วยความปรารถนาดีและขอให้กำลังใจคนไทยทุกคนได้กลับมามีชีวิตปกติโดยเร็วครับ
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |