สกัดสาวกพา2สมีเผ่นออกนอก!


เพิ่มเพื่อน    

    คดีเงินทอนวัดถึงมือ ป.ป.ช.ชุดใหญ่  ขณะที่กองปราบฯ ประสาน สตม.สกัด 3 ลูกศิษย์เชื่อพา "พระพรหมเมธี" หนี ทั้งพบพิรุธพระผู้ใหญ่เลื่อนตำแหน่งสูงแต่ไม่จบเปรียญธรรม
    นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 พ.ค.นี้ เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบสำนวนกรณีการตรวจสอบการทุจริตเงินอุดหนุนงบประมาณบูรณปฏิสังขรณ์วัด หรือที่สื่อเรียกกันว่าคดีทุจริตเงินทอนวัด ล็อตที่ 3 ซึ่งมีนายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร กรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้รับผิดชอบสำนวน บรรจุเป็นวาระเร่งด่วน เพื่อรายงานความคืบหน้าให้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาสำนวนส่วนที่เกี่ยวข้องกับทุจริตเงินพระปริยัติธรรม ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีกับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นข่าวและสังคมให้ความสนใจ ทั้งนี้ จะมีการแถลงมติที่ประชุมอย่างไรหรือไม่ ต้องแล้วแต่ที่ประชุมจะมอบหมาย
    นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวถึงการทุจริตเงินทอนวัดว่า ขอให้คนไทยมีสติในการพิจารณา ไตร่ตรอง และแยกแยะว่าอะไรดีหรือไม่ดี ความศรัทธาเกิดขึ้นได้ โดยอย่ายึดติดที่ตัวบุคคล ขอให้ยึดถือพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง และเลื่อมใสศรัทธาต่อหลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสอนให้คนประพฤติปฏิบัติดี นำไปสู่ผู้มีศีล สมาธิ และปัญญา
    ขณะที่นายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหาร วธ. กล่าวว่า จากเหตุการณ์พระเถระถูกดำเนินคดีและสถานการณ์พระพุทธศาสนาในขณะนี้ ขอให้ประชาชนรับข้อมูลข่าวสารอย่างมีสติ และขออย่าได้หวั่นไหวในพระพุทธศาสนา โดยขอให้พุทธศาสนิกชนยึดหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวตั้ง เนื่องจากที่ผ่านมา ชาวพุทธส่วนใหญ่ไปยึดติดกับตัวบุคคล เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะสมกับพระสงฆ์รูปนั้นๆ จะทำให้เกิดความหวั่นไหว กระทบต่อศรัทธาและจิตใจ 
    "หากพุทธศาสนิกชนยึดหลักธรรมของพระพุทธองค์แล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่อพระสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นพระเถระ หรือพระทั่วไปก็ตาม จะไม่เกิดความหวั่นไหวในพระรัตนตรัยแต่อย่างใด ตนขอให้ประชาชนยึดแนวปฏิบัติดังกล่าว จะช่วยให้ไม่กระทบต่อศรัทธาในพระพุทธศาสนา" อธิบดีกรมการศาสนา กล่าว
    วันเดียวกัน ที่กองปราบปราม มีความคืบหน้าการติดตามตัวพระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร สองพระเถระผู้ใหญ่ที่ตกเป็นผู้ต้องหาฐานร่วมกันฟอกเงินในคดีเงินทอนวัด โดยเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา ชุดสืบสวนประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ให้เฝ้าระวังการเดินทางออกนอกประเทศของชายไทย 1 คน หญิงไทย 1 คน และหญิงสาวชาวลาวอีก 1 คน เนื่องจากเป็นศิษย์ที่มีความใกล้ชิดกับพระพรหมเมธี โดยเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับการให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาในการหลบหนี ซึ่งก่อนหน้านี้ ชุดสืบสวนได้ตรวจสอบพบว่าบุคคลทั้งสามได้หายไปจากที่พักและได้ขาดการติดต่อไปหลังจากที่พระพรหมเมธีได้หลบหนีการติดตามจับกุมตัวของเจ้าหน้าที่
    ทั้งนี้ ในส่วนของพระพรหมสิทธิและพระพรหมเมธีนั้น ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ สตม.ได้นำหมายจับเข้าระบบเฝ้าระวังของด่าน ตม.ทั่วประเทศไว้แล้ว ทั้งนี้ หากพบบุคคลที่เฝ้าระวังทั้ง 3 คน แม้ว่าจะยังไม่มีหมายจับ ก็ให้ประสานแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ ได้ทันที
    ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับการพิจารณารวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับพระที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ฐานร่วมกันฟอกเงินแล้ว ผู้บังคับบัญชาในระดับ ตร. ยังได้สั่งการให้ขยายผลไปยังคดีอื่นๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการให้เช่าที่ดินของวัด หรือที่ธรณีสงฆ์ โดยตรวจสอบเส้นทางการเงินว่าเงินที่ได้รับนั้นเข้าสู่บัญชีวัดหรือบัญชีส่วนตัวของพระแต่ละรูป และมีการออกใบเสร็จรับเงินอย่างถูกต้องหรือไม่ โดยเฉพาะประเด็นของวัดสามพระยาที่ค้นพบโฉนดที่ดินของฆราวาสจำนวนมากอยู่ในกุฏิของพระอรรถกิจโสภณ เลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพฯ วัดสามพระยา ว่า เกี่ยวข้องกับการรับจำนองโฉนดที่ดินหรือออกเงินกู้ด้วยหรือไม่
    ขณะเดียวกัน ในส่วนของพนักงานสอบสวนกองปราบปรามนั้น กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าอาจจะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มกับพระพรหมดิลก ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามกฎหมายอาญาฯ มาตรา 157 เพิ่มเติมด้วย เนื่องจากการดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสนั้น ถือเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยตำแหน่ง
    ทั้งนี้ ชุดสืบสวนกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบประวัติของพระชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 3 รูป เพื่อประมวลข้อมูลเกี่ยวกับการได้มาซึ่งสมณศักดิ์และตำแหน่งทางการปกครองของสงฆ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก่อนจะส่งมอบให้กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นำเสนอต่อมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อเป็นข้อมูลในการประกอบการพิจารณาถึงความเหมาะสมในตำแหน่งของพระทั้ง 3 รูปด้วย
    เบื้องต้นชุดสืบสวนพบว่า พระพรหมสิทธิและ พระพรหมเมธีนั้น จบการศึกษาชั้นนักธรรมเอก แต่ไม่ได้เล่าเรียนบาลีหรือเปรียญธรรมมาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องแปลกในวงการสงฆ์ที่พระทั้ง 2 รูป ซึ่งไม่ได้จบเปรียญธรรมแม้แต่ประโยคเดียว แต่สามารถขึ้นมาถึงระดับรองสมเด็จพระราชาคณะในชั้นพรหมได้ ซึ่งเรียกได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น พระผู้ใหญ่ทั้งสองรูปยังมีอาวุโสน้อยมากหากเทียบกับพระสงฆ์รูปอื่นๆ ในมหานิกาย ต่างจากพระพรหมดิลก ที่จบเปรียญธรรม 9 ประโยค ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"