“กรมคุก” ยันเพนกวินยังมีกำลังใจดี แค่กระเพาะอาหารอักเสบ อ่อนเพลียเล็กน้อย ศาลไฟเขียวให้ประกัน “ขนุน” แกนนำกลุ่ม มศว แล้ว “สหายอ้วน” เตือนอย่านิ่งดูดายกระแสย้ายประเทศ “ดร.แรมโบ้” ยกมือสาธุหากธนาธรยกพวกย้ายจากแผ่นดินแม่
เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอ่านคำสั่งในคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนายสิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ หรือขนุน อายุ 20 ปี แกนนำกลุ่ม มศว คนรุ่นเปลี่ยน ในคดีที่ถูกพนักงานอัยการยื่นฟ้องร่วมกับนายชูเกียรติ แสงวงค์ หรือจัสติน อายุ 30 ปี เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์, ร่วมกันจัดกิจกรรม รวมกลุ่มใช้สิทธิเพื่อการชุมนุมโดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง และไม่จัดให้มีมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกำหนด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานและในชั้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ปล่อยชั่วคราวนายสิรภพ ตีราคาประกัน 200,000 บาท โดยมีเงื่อนไขห้ามไปกระทำการที่ก่อให้เกิดความเสียหาย หรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ อันจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อีก, ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นได้รับอนุญาตจากศาลเป็นหนังสือ และมาศาลตามที่มีกำหนดนัดทุกครั้ง โดยถือปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
ขณะเดียวกัน นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะโฆษกกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงอาการนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำกลุ่มราษฎร ว่าแพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เข้าตรวจร่างกาย นายพริษฐ์แล้วพบว่ากระเพาะอาหารอักเสบ มีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย ไม่ปวดท้อง ไม่คลื่นไส้อาเจียน นอนหลับได้หลังรับประทานยา มีกำลังใจดี สามารถดื่มนมรวมทั้งรับประทานเกลือแร่และวิตามินได้หมด สัญญาณชีพปกติดี ทั้งนี้ แพทย์จะให้การรักษาโดยส่งเสริมภาวะโภชนาการต่อเนื่อง พร้อมทั้งให้รับประทานวิตามินเม็ดและเกลือแร่เสริมต่อไป ในส่วนของนายอานนท์ นำภา หรือทนายอานนท์ อยู่ระหว่างรักษาตัวที่ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โดยได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด
สำหรับความเคลื่อนไหวกระแสย้ายประเทศนั้น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้เปิดห้องสนทนาในแอปพลิเคชัน Clubhouse เมื่อช่วงค่ำวันที่ 8 พ.ค. โดยระบุว่าปรากฏการณ์อยากย้ายประเทศ หรือที่หลายคนเรียกว่าสมองไหลนั้น ไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้นในไทยเพียงอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นมาก่อนในหลายประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือไต้หวัน ที่เคยมีสัดส่วนของคนที่เรียนต่อต่างประเทศแล้วไม่กลับมาทำงานที่บ้านเกิดสูงถึง 85% ซึ่งรัฐบาลไต้หวันได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว และรีบปรับเปลี่ยนนโยบายที่ไม่เน้นแต่เฉพาะการลงทุนสร้างเทคโนโลยีใหม่เท่านั้น แต่รวมถึงการเปิดบรรยากาศทางการเมือง ส่งผลให้คนไต้หวันจำนวนมากย้ายกลับมาอยู่ที่ไต้หวันอีกครั้ง
ดังนั้น บทเรียนจากไต้หวันจึงมีคุณค่าที่ไทยเรียนรู้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้สมองของคนไทยไหลออกไปนอกประเทศ
ในช่วงหนึ่งมีผู้ถามนายธนาธรว่า เหตุใดนายธนาธรไม่ออกไปตั้งรกรากในต่างประเทศบ้าง นายธนาธรระบุว่า แม้ว่าในระยะหลังจะเริ่มเห็นความเห็นแก่ได้ของชนชั้นนำที่จะปกป้องอำนาจ สถานะ และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแสดงออกมาอย่างชัดเจนมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็เห็นคนธรรมดาจำนวนมากขึ้นเช่นกัน ที่เริ่มมีความไม่พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ ซึ่งไทยมีศักยภาพที่จะดีกว่านี้ได้ ขอเพียงมีความจริงใจ ตั้งใจ เอาผลประโยชน์ประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่เอาผลประโยชน์ของชนชั้นนำเป็นตัวตั้ง เชื่อว่าเราสามารถสร้างประเทศไทยที่ดีและน่าอยู่กว่านี้ได้
“ถ้าคนที่มีศักยภาพทุกคนไปกันหมด ก็จะไม่เหลือใครมาต่อสู้กับระบบระเบียบที่ฉุดรั้งประเทศไทยไม่ให้ก้าวไปข้างหน้า ผมเชิญชวนทุกคนไม่ว่าอยู่ที่ไหน ไม่ว่าอยู่มุมไหนของโลก เรามีพลัง มีศักยภาพที่จะร่วมกันสร้างประเทศ ไทยที่ดีกว่านี้ หลายประเทศใช้เวลาเป็นร้อยปีนะครับ ดังนั้นยังเร็วไปที่จะยอมแพ้” นายธนาธรกล่าว
นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) และเลขานุการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีปรากฏการณ์ย้ายประเทศว่า กระแสดังกล่าวเป็นเสียงที่ทุกฝ่ายในสังคมต้องฟังให้ได้ยิน และเข้าใจอย่างเปิดใจแล้วนำไปคิดต่อ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่ออนาคตตัวเราและลูกหลาน หรืออนาคตประเทศไทย เพราะหลายปีที่ผ่านมาไทยเราต้องแลกกับอะไรหลายอย่าง ที่ยอมบั่นทอนเกียรติภูมิและความเชื่อมั่นของประเทศ เพื่อทำลายล้างฝ่ายเห็นต่างเพียงเพื่อรักษาผลประโยชน์และอำนาจของผู้มีอำนาจและพวกพ้อง
“อย่านิ่งดูดายกับความไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้น กับการบริหารจัดการที่ล้มเหลว เพื่อแลกกับอนาคตและโอกาสของลูกหลานเลย เร่งคิดเร่งหาทางออกก่อนที่ประเทศจะไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ" นายภูมิธรรมโพสต์
ส่วนนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี โต้กลับนายธนาธรว่า ประเทศไทยยังมีผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และเป็นผู้ที่รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อีกมากมาย ซึ่งคนเหล่านั้นก็พร้อมทำประโยชน์เพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง โดยไม่นำเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นใครอยากย้ายประเทศก็สามารถไปได้เลย ขณะเดียวกันนายธนาธรก็ไม่ต้องกังวล หรือเป็นห่วงว่าประเทศไทยจะขาดคนเก่งคนดีมีความสามารถ เพราะคนเก่งที่ไร้สมอง ขาดจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองอย่างนายธนาธรอยู่ไปก็ไร้ค่า ยิ่งไม่มีนายธนาธรและสมุนคณะก้าวหน้าอยู่ ก็อาจไม่มีคนยุยงปลุกปั่น สร้างความวุ่นวายทำลายให้เกิดขึ้น บ้านเมืองจะเจริญกว่านี้แน่นอน
“คนอย่างนายธนาธรมีเงินมีทองมากมาย น่าจะสนับสนุนคนกลุ่มนี้ด้วยการให้เงิน ค่าเครื่องบิน ไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ จะได้ไปได้ไวยิ่งขึ้น และตัวนายธนาธรควรพาคณะก้าวหน้าและสมุนออกเดินทางไปทั้งคณะ ยิ่งไปเร็วเท่าไรยิ่งดี อย่าชักช้า มัวแต่มาพูดขี้โม้โอ้อวดให้เปลืองน้ำลายไปวันๆ แบบไร้สาระ เป็น บ่อนทำลายขัดขวางความสงบสุขของคนในชาติมากกว่า" นายเสกสกลกล่าวและว่า ถ้านายธนาธรพาคณะกลุ่มก้าวหน้าและแกนนำม็อบสามนิ้วพวกนี้ย้ายไปอยู่ในต่างประเทศกันโดยเร็ววัน คงมีคนไทยไม่น้อยยกมือพนมสาธุด้วยความดีอกดีใจมากที่สุด.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |