นายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชาพูดถึง “วัคซีนเข็มที่ 3” และการปรับแผนที่จะเพิ่มการจัดหาวัคซีนโควิดจากเป้าเดิม 100 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้เป็น 150-200 ล้านโดสใน PM Podcast เมื่อวันศุกร์
สะท้อนว่ามีการปรับแผนการสู้กับโรคระบาดครั้งนี้ด้วยการประเมินความเสี่ยงและแผนการสู้รบใหม่
เพราะคำว่า “เข็มที่ 3” เพิ่งจะได้รับการเอ่ยขานจากผู้นำประเทศเป็นครั้งแรก
เดิมทีที่มีตัวเลขจัดหา 100 ล้านโดสให้แก่คนไทยร้อยละ 70 ก่อนสิ้นปีนี้นั้น ไม่น่าเพียงพอที่จะทำสงครามกับศัตรูที่มองไม่เห็นตัวนี้
อีกทั้งมีวลีจากนายกฯ ว่า “เกินดีกว่าขาด”
นั่นย่อมหมายถึงการปรับยุทธวิธีการสู้รบครั้งนี้ให้สอดคล้องกับการประเมินสถานการณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข ที่กำลังเฝ้าติดตามความคืบหน้าของ “สงครามระดับโลก” อย่างใกล้ชิด
ประเด็นของความกังวลสำคัญคือ ประสิทธิภาพของวัคซีนยี่ห้อต่างๆ ในโลกกับการกลายพันธุ์ของไวรัสตัวนี้
อีกทั้งยังไม่แน่ใจว่าวัคซีนแต่ละตัวจะออกฤทธิ์ได้ยาวนานเพียงใด
และหากไวรัสกลายพันธุ์ วัคซีนแต่ละตัวจะสามารถต่อสู้กับมันได้มากน้อยอย่างไร
เพราะการใช้วัคซีนวันนี้เป็นการใช้แบบ “ฉุกเฉิน” หรือ Emergency Use ทั้งสิ้น
ต้องถือว่านี่คือการวิจัยพัฒนาวัคซีนและนำมาฉีดใส่คนทั่วไปที่ใช้เวลาสั้นที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ในอดีตการจะวิจัยและพัฒนาวัคซีนตัวใดจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3-4 ปีก่อนที่จะสามารถใช้กับคนทั่วไปได้
แต่ในกรณีโควิด-19 นั้น เนื่องจากความรุนแรงของการแพร่ระบาดทำให้ต้องมีการปรับกระบวนการเพื่อใช้ “ทางลัด” ให้สามารถฉีดวัคซีนแก่ประชาชนได้โดยเร็ว โดยยังต้องมีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็นำมาฉีดให้มนุษย์แล้ว
เท่ากับเป็นการ “ฉีดไปทดลองไป เรียนรู้ไปปรับปรุงไป”
เพราะศัตรูตัวนี้มีความคล่องแคล่วว่องไวและกลายพันธุ์ได้อย่างน่ากลัว
มีตั้งแต่พันธุ์ดั้งเดิม จากนั้นกลายเป็นสายพันธุ์อังกฤษ, อินเดีย, บราซิล และแอฟริกาที่แพร่กระจายไปในหลายๆ ประเทศทั่วโลก
ไทยเองก็กำลังตั้งรับกับความเป็นไปได้ที่สายพันธุ์เหล่านี้จะหลุดรอดเข้ามาในไทย
สายพันธุ์อังกฤษเข้ามาแล้ว ที่ต้องระวังสกัดให้อยู่ก็คือสายพันธุ์อื่นๆ ที่ประชิดติดเมืองอยู่ขณะนี้
ยิ่งเมื่อเราเจอกับการแพร่ระบาดระลอก 3 ที่มาพร้อมกับช่วงสงกรานต์ และจำนวนคนติดเชื้อและเสียชีวิตพุ่งขึ้นอย่างน่ากังวล ก็ยิ่งต้องปรับแผนอย่างเร่งด่วน
คำว่า “วัคซีนเข็มที่ 3” นั้นเริ่มต้นจากที่สหรัฐฯ เมื่อมีคำถามว่าวัคซีนชนิดต่างๆ ที่กำลังใช้อยู่ขณะนี้จะมีคุณภาพพอที่จะสู้กับไวรัสที่กำลังโจมตีมนุษย์ในปัจจุบันหรือไม่
คำตอบตรงกันของผู้เชี่ยวชาญหลายค่ายก็คือ “ไม่มีใครรู้”
จะรู้จริงก็ต่อเมื่อศัตรูบุกถึงตัวและเกิดภาวะ “กรุงแตก” แล้วเท่านั้น
ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้มีการพูดถึงการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 หรือ Booster ที่ต้องเพิ่มขึ้นมาจากสองเข็ม
หากเปรียบเป็นการทำสงคราม นี่ก็คือการเตรียมกำลังรบสำรองเพื่อจะสามารถยันศัตรูเอาไว้ให้ได้
เพราะศัตรูทำท่าว่าจะมี “ลูกเล่น” ที่แพรวพราวมากขึ้นทุกวัน
วัคซีนเข็มที่ 3 คือกำลังรบสำรองที่ต้องจัดทัพเอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้เพื่อรับสถานการณ์ที่สองด่านแรกเอาไม่อยู่
เข็มที่ 3 คือแนวป้องกันแนวหลังใหม่ที่จะสร้างความมั่นใจว่าต้อง “ยัน” ศัตรูเอาไว้ในทุกแนว
เพราะสงครามครั้งนี้แพ้ไม่ได้
หากแพ้ก็เท่ากับเป็นการล่มสลายทั้งระบบสาธารณสุขและระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะกระทบถึง “ความมั่นคง” ของประเทศในทุกๆ มิติเช่นกัน
หากฟังนายกฯ วันนั้นก็จะรู้ว่าที่เตรียมจะจัดหาวัคซีนเพิ่มจาก 100 ล้านเป็น 150-200 ล้านโดสนั้นเป็นการเตรียมการเผื่อเอาไว้สำหรับปีหน้าด้วย
เพราะผู้ผลิตวัคซีนหลายเจ้าแม้จะพร้อมขายให้เราแต่ก็ยังผลิตไม่ทัน
แผนสำรองของไทยจึงต้องมองไปว่าจะต้องมีวัคซีนเพิ่มจาก 100 ล้านโดสแรกเพื่อฉีดเข็มที่ 3 ในปีหน้า
เป็นการประเมินสถานการณ์ที่ยอมรับความจริงว่าเจ้าโควิด-19 จะยังอยู่กับเราอีกระยะหนึ่ง
อาจจะอีก 2 ปี 3 ปีหรือ 5 ปีก็เป็นไปได้
ศึกครั้งนี้ไม่เพียงแต่ใหญ่หลวงเท่านั้น
แต่ยังจะยืดเยื้อยาวนาน
และทดสอบความสามารถของคนทั้งชาติในการนำพาประเทศชาติให้รอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ให้ได้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |