ในสภาวะเศรษฐกิจที่ลุ่มๆ ดอนๆ จากปีก่อนที่ตัวเลขติดลบกันระนาว ไม่ว่าจะเป็นภาคส่วนใดก็ตาม ในปีนี้ประเทศไทยจำเป็นต้องงัดทุกกลยุทธ์ออกมาสู้ เพื่อหวังจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่น ความเป็นอยู่ของสังคม นักลงทุน และคนในประเทศขึ้นมาให้ได้ จึงเป็นงานหนักพอสมควรของทุกหน่วยงานที่มีหน้าที่เป็นกำลังหลักให้กับแผนงานด้านเศรษฐกิจนี้ถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้า
หนึ่งในนั้นคือการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลในส่วนของภาคการลงทุนของประเทศ ที่ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะวัดค่าได้ว่าประเทศไทยมีความเข้มแข็งเพียงใดที่จะต่อสู้กับปัญหาได้ในปัจจุบัน ซึ่งก่อนหน้านี้ กนอ.ถือว่าทำผลงานได้ดีมาโดยตลอด วัดได้จากยอดการขายที่ดินในแต่ละปีที่มีการเติบโตขึ้น แม้จะมีคู่แข่งอย่างประเทศสำคัญในอาเซียนหลายที่ แต่ กนอ.ก็เดินหน้าที่จะพัฒนาความพร้อมเพื่อรองรับการลงทุนอยู่เสมอ
ในปัจจุบันที่ กนอ.จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้ง คือการเข้ามาทำงานของผู้ว่าการ กนอ.คนใหม่ โดยเมื่อวันที่ 20 เม.ย.64 บอร์ด กนอ.ได้มีการประกาศรายชื่อหลังคณะกรรมการสรรหามีมติเป็นเอกฉันท์เลือก นายวีริศ อัมระปาล ขึ้นเป็นผู้ว่าการ กนอ.คนใหม่ และพร้อมทำงานทันทีตามเงื่อนไขและสัญญาจ้างที่มีต่อ กนอ. จึงเกิดอีกหนึ่งคำถามสำคัญว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะถือว่าเป็นผลดีหรือไม่กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
แต่เห็นว่า นายวีริศ ผู้ว่าการคนใหม่ก็ไม่ปล่อยให้เกิดข้อกังขานานถึงเป้าหมายในการเข้ามารับตำแหน่งนี้ จึงได้เปิดเผยถึงนโยบายการดำเนินงาน ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งทันที ซึ่งเมื่อเทียบดูจากส่วนงานต่างๆ ที่ผู้ว่าคนเก่าอย่าง นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ได้ส่งมาให้สานต่อนั้น โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่ กนอ.ขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล ประกอบด้วย 1.โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ทปาร์ค 2.โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 , 3.การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน และ 4.การพัฒนานิคมฯ และท่าเรืออุตสาหกรรมเข้าสู่การเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ (สมาร์ทอีโค) นั้น ก็เห็นว่าจะมีการประเทศแผนงานมาอย่างครบถ้วน
โดย นายวีริศ กล่าวว่า ก็จะสานต่องานเดิมที่วางไว้ แต่จะมีการปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับสถานการณ์เพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน และสร้างความยั่งยืนให้กับ กนอ. โดยการดำเนินงานจะแบ่งเป็น 6 กลุ่มใหญ่ที่สำคัญ ดังนี้ 1.เรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ คือ เร่งหาแนวทางการดึงดูดการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะใช้ทั้งมาตรการการตลาดและมาตรการเชิงรุกออกไปหารือกับนักลงทุนโดยตรง รวมทั้งเร่งสื่อสารทางการตลาดประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลศักยภาพของนิคมอุตสาหกรรม แก่นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศให้มากขึ้น
2.เร่งสานต่อนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล ได้แก่ การเร่งดำเนินโครงการสมาร์ทปาร์ค และเร่งรัดโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เฟส 3 ซึ่งเป็นท่าเรืออุตสาหกรรมขนส่งก๊าซ และพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีชั้นสูงที่สำคัญ โดยทั้ง 2 โครงการนี้ถือได้ว่าเป็นโครงการหลักที่สำคัญในการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ในส่วนของโครงการนิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนที่สำคัญของรัฐบาล
โดยเฉพาะนิคมฯ ชายแดนที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กนอ. ได้แก่ นิคมฯ สระแก้ว, นิคมฯ สงขลา กนอ.ต้องเร่งดำเนินการดึงดูดการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย และจัดทำแผนการตลาดที่เหมาะสม ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น และยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ยอดการส่งออกสินค้าชายแดนเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย
3.แผนลดความเสี่ยงในทุกด้านที่จะกระทบต่อการดำเนินกิจการในนิคมฯ ของ กนอ. โดยเฉพาะการลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนน้ำและพลังงาน ซึ่งจะต้องมีเพียงพอทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยคำนึงถึงสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่างๆ เช่น การจัดทำแผนงานและแนวทางการบริหารแหล่งน้ำดิบให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า การหาและสร้างระบบจัดเก็บแหล่งน้ำดิบ สำรอง การส่งเสริมระบบเก็บน้ำฝนของอาคารและสถานประกอบการ
รวมถึงการส่งเสริมระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ (วอเตอร์ รีไซเคิล) และการทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด เป็นต้น ซึ่งแนวทางเหล่านี้บางส่วนที่ กนอ.ดำเนินการเองได้ก็จะเร่งผลักดันอย่างเต็มที่ แต่บางมาตรการอาจต้องใช้เงินลงทุนสูง ก็มีแผนที่จะร่วมมือกับบริษัทพันธมิตรที่เชี่ยวชาญเรื่องน้ำเข้ามาร่วมลงทุน
4.สิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด โดยมีแผนจัดหามาตรการสิทธิประโยชน์สนับสนุนให้กับโรงงานที่มีการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม มีการดำเนินการที่ดีมายาวนาน ซึ่งจะต้องเป็นสิทธิประโยชน์ที่จับต้องได้จริง โดยจะเข้าไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กรมสรรพากร และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น
ทั้งนี้ เพื่อจัดทำสิทธิประโยชน์ให้กับโรงงานที่ได้มาตรฐานในระดับสูง ส่วนโรงงานที่ดำเนินการไม่ถูกต้องและปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมจะต้องมีมาตรการกำกับดูแลที่ชัดเจน ซึ่งมาตรการทั้ง 2 ด้านนี้จะดึงดูดให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
5.สำหรับสร้างความก้าวหน้าและเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับ กนอ. โดยขณะนี้มีแผนที่จะหาช่องทางในธุรกิจใหม่ๆ เช่น การตั้งบริษัทลูก หรือร่วมทุนในธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และเป็นการบริหารสินทรัพย์และบุคลากรให้มีประสิทธิภาพและคล่องตัวมากขึ้น โดยสามารถขยายไปสู่การผลักดันให้บริษัทลูกเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้เกิดการระดมทุนและพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ ให้เติบโตอย่างรวดเร็ว สร้างรายได้ระยะยาวให้กับ กนอ.
และ 6.พัฒนาบุคลากรโดยการเสริมศักยภาพด้านต่างๆ การที่ กนอ.จะพัฒนาไปสู่เป้าหมายเหล่านี้ได้ กำลังคนที่มีคุณภาพจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญ ดังนั้น จึงมีแผนการ พัฒนาศักยภาพพนักงานของ กนอ.ให้มีศักยภาพเพิ่มในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านไอที ระบบดิจิทัล และแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี รวมทั้งการพัฒนาด้านภาษาให้กับพนักงาน ที่ควรจะสื่อสารภาษาที่ 3 ได้ นอกจากภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพราะนักลงทุนในนิคมฯ มาจากต่างชาติทั่วโลก
ดังนั้น หากมีทักษะทางภาษาที่ดี ก็จะช่วยยกระดับการให้บริการที่ดีขึ้น โดยมีแผนที่จะจัดฝึกอบรมออนไลน์ให้พนักงานพัฒนาศักยภาพของตัวเอง และส่งไปฝึกอบรม นอกองค์กร รวมทั้งจะมีมาตรการอุดหนุนที่เหมาะสม ให้เหมาะสมกับศักยภาพที่เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นแรงจูงใจให้กับพนักงานในการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
"ขอยืนยันว่าจะพยายามเรียนรู้งานอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสของประเทศ รวมทั้งเพื่อสานต่อภารกิจของ กนอ. โดยเฉพาะโครงการสำคัญที่ กนอ.ต้องขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล เช่น โครงการนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ทปาร์ค โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เฟส 3 ซึ่งเป็นท่าเรืออุตสาหกรรมขนส่งก๊าซ และพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีชั้นสูงที่สำคัญ โดยทั้ง 2 โครงการนี้ถือได้ว่าเป็นโครงการหลักที่สำคัญในการพัฒนาอีอีซี" นายวีริศกล่าว
นอกจากนี้ นายวีริศ กล่าวว่า กนอ.จะให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้า โดยจะเร่งจัดหาพลังงานไฟฟ้าให้เพียงพอในระยะยาว มีระบบสำรองและเทคโนโลยีในการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น จนส่งผลต่อการจ่ายกระแสไฟฟ้า เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการโดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมชั้นสูงที่ต้องการกระแสไฟฟ้าที่มีคุณภาพมีความเสถียรสูง
รวมทั้งการจัดหาพลังงานทางเลือก เช่น การผลิตไฟฟ้าจากการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำ ซึ่งเดิมมีการดำเนินการไปแล้ว แต่จะทำให้ยั่งยืนขึ้นด้วยการเปลี่ยนวัสดุที่สามารถแช่น้ำได้นานเป็น 10 ปี โดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ กนอ.อาจจะขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าในพื้นที่นิคมฯ ที่สนใจพลังงานสะอาด ซึ่งจะนำไปสู่เรื่องการทำคาร์บอน เครดิตต่อไป โดยจะต้องลงทุนในระบบเพื่อให้การจ่ายกระแสไฟฟ้ามีคุณภาพสูงสุด ป้องกันความเสี่ยงด้านต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อโรงงานในนิคมฯ
เห็นได้ว่าแผนงานของผู้ว่าการคนใหม่ถือว่าใส่เกียร์เดินหน้าเต็มกำลัง ซึ่งถือว่าเป็นแผนงานที่ครอบคลุมในทุกมิติที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับ กนอ.ได้ภายในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งจะต้องมาช่วยให้กำลังใจในการทำงานกันต่อไป เพื่อหวังให้ความสำเร็จนี้เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |