อุ๊ต๊ะ! เพจคณะก้าวหน้า ชมเปาะ 'ธนาธร' ผ่านไป 4 เดือน ที่พูดไว้เป็นจริงหมด


เพิ่มเพื่อน    

8 พ.ค.64 -  เฟซบุ๊กเพจ คณะก้าวหน้า - Progressive Movement  ที่มีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นประธาน ได้โพสต์ข้อความดังนี้

ผ่านไป 4 เดือน ที่เตือนไปเป็นจริงหมด มีทั้งเกิดโควิดระบาดระลอก 3 ทำเศรษฐกิจพัง - ประชาชนเสียชีวิต จนรัฐบาลยอมยูเทิร์นนโยบายวัคซีน แต่ก็ยังไม่หยุดเดินหน้าปิดปากธนาธรด้วย พ.ร.บ.คอมฯ - เอาผิดธนาธรด้วย ม.112 

18 มกราคม 2564 คือวันแรกที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกไลฟ์ “วัคซีนพระราชทาน : ใครได้ใครเสีย?” จนทำให้ฝ่ายหลายคนในรัฐบาลออกมาตอบโต้อย่างรุนแรง โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวหาว่า “เป็นการบิดเบือน ทุกเรื่อง ทุกอย่าง ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเลย” รวมทั้งอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่กล่าวทิ้งท้ายว่า “พวกที่ออกมาว่าๆ น่ะ มือไม่พายก็ไม่ต้องเอาอะไรมาราน้ำ”

ตามมาด้วยการดำเนินคดีจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(MDES) ยื่นเรื่องให้ศาลสั่งระงับการเผยแพร่คลิปไลฟ์ของธนาธรในทุกช่องทาง ตามมาตรา 20 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และดำเนินคดีตามกฎหมายอาญามาตรา 112 อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีที่ดีอีขอให้ศาลสั่งระงับเผยแพร่คลิปไลฟ์นั้น ศาลได้ยกเลิกคำสั่งแบนไลฟ์ดังกล่าวแล้ว เนื่องจากเห็นว่าเป็นเพียงการวิจารณ์นโยบายการจัดการวัคซีนของรัฐบาลที่ธนาธรเห็นว่าล่าช้าไม่ทันการณ์เช่นนี้จะกระทบต่อปากท้องประชาชน และการที่รัฐบาล “แทงมาตัวเดียว” สนับสนุนเงินทุนให้บริษัท Siam Bioscience ของในหลวงวชิราลงกรณ์ให้เป็นผู้ผลิต และรับซื้อวัคซีนจำนวน 98.5% จากบริษัท AstraZeneca เพียงเข้าเดียว ณ ขณะนั้น ถ้าหากเกิดความผิดพลาดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิต การจัดส่ง การกระจาย หรือคุณภาพวัคซีน อาจกระทบกระทั่งต่อเกียรติยศต่อพระมหากษัตริย์ได้ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีจะรับผิดชอบอย่างไร?

แต่แม้ว่าศาลจะปลดแบนแล้ว แต่รัฐบาลและหน่วยงานราชการต่างๆ ยังคงดำเนิน ม.112 คดีเพื่อปิดปากธนาธร แถมยังออกมายืนยันนโยบายวัคซีนของตนเองอย่างแข็งขัน ไม่ว่าจะเป็นการยืนยันว่าที่เราไม่เข้าร่วมโครงการวัคซีน COVAX นั้นเป็นเพราะไทยไม่ใช่ประเทศยากจน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สั่งจองวัคซีนให้มากเพียงพอโดยอ้างว่าเราไม่ใช่ประเทศร่ำรวย รวมทั้งติดระเบียบราชการเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างเต็มไปหมด ไม่สามารถสั่งจองวัคซีนล่วงหน้าได้ ฯลฯ

รวมถึงการยืนยันอย่างแข็งขันว่าดีลวัคซีน AstraZeneca และ Siam Bioscience นั้นไม่ใช่ “แทงม้าตัวเดียว” แต่เป็น “แทงม้าเต็ง” และแผนวัคซีนทั้งหมดนั้นอยู่ในเวลาที่เหมาะสม เพราะเราไม่รีบร้อน “วัคซีนจะมาช้าหรือเร็ว แทบไม่ได้มีผลกับคนไทย เพราะเรามีหน้ากากอนามัย-หน้ากากผ้า ในการป้องกันอนามัยส่วนตัว ไม่ต้องเจ็บจากการฉีดวัคซีน ใช้เงินน้อย ขอให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ในพื้นที่ชุมชน”, “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม”

แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ ในขณะที่สังคมไทยยังหลงกลนโยบายวัคซีนของรัฐบาลอยู่นั้นก็เกิด “คลัสเตอร์ทองหล่อ” ขึ้นมา แถมงวดนี้มีข่าวเกี่ยวพันกับรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลด้วย จนกระจายไปทั่วประเทศเป็นการระบาดระลอก 3 ที่มีจำนวนเคสมากที่สุด และมีจำนวนความสูญเสียชีวิตของประชาชนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาด้วย จนทำให้ทรัพยากรทางการแพทย์ที่จะมารับมือกับโควิดก็ตึงมือเช่นกันด้วย จนเกิดข่าวหลายชิ้นที่รายงานว่ามีประชาชนติดเชื้อโควิดแต่ไม่สามารถเข้ารับการรักษาได้ทันเวลาเนื่องจากไม่มีเตียง หรือจัดสรรไม่ดีพอ หรือได้รับการจัดสรรช้าเกินไป ทำให้เสียชีวิตอีกหลายราย

ท่ามกลางวิกฤตทางด้านสาธารณสุขนั้น ก็เกิดวิกฤตเศรษฐกิจปากท้องตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากรัฐบาลออกคำสั่งมาตรการสู้โควิด ทำให้ธุรกิจหลายภาคส่วนได้รับผลกระทบอีกระลอก จนล้มหายตายจากไปจำนวนมาก ทั้งการท่องเที่ยว การบริการ และการดื่มกินของประชาชนก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง มีประชาชนฆ่าตัวตายจากปัญหาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิดอีกจำนวนมาก เรียกได้ว่าการดำเนินงานของรัฐบาลพังไม่เป็นท่าจากความผิดพลาดนี้

ช่วงนี้เองเป็นช่วงที่ประชาชนและภาคธุรกิจกลับมาพิจารณาอย่างจริงจังแล้วพบว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นหากเรามีวัคซีนที่เร็วและครอบคลุมมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ จึงประสานเสียงออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างหนักหน่วงถึงความผิดพลาดเชิงนโยบายที่เกิดขึ้น พร้อมกดดันให้เร่งจัดหาวัคซีนให้ครอบคลุมและเร็วที่สุดเพิ่มเติมด้วย

เมื่อย้อนกลับมาดู ณ จุดนี้ก็พบว่าสิ่งที่ธนาธรเคยออกมาเตือนรัฐบาลไว้เมื่อหลายเดือนก่อนนั้นกลายเป็นจริงทุกประการ!

ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลได้ “ยูเทิร์นนโยบายวัคซีน” โดยการเร่งเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนเพิ่มเติมจากหลายเจ้า โดยล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์เปิดเผยว่าอาจต้องจัดหาวัคซีนให้ได้ถึง 200 ล้านโดส และเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้เดือนละ 15 ล้านโดส หรือวันละกว่า 5 แสนโดส!

แต่แม้จะยูเทิร์นนโยบายวัคซีนอย่างไร ธนาธรในฐานะคนที่ออกมาเตือนเรื่องดังกล่าวคนแรก กลับยังถูกดำเนินคดีอย่างไม่หยุดหย่อน โดยล่าสุด กระทรวงดีอีได้ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลสั่งปิดกั้นคลิปไลฟ์วัคซีนของธนาธรเหมือนเดิม โดยในวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 ทนายความของธนาธรจะเข้ายื่นคำแก้อุทธรณ์ในคดีดังกล่าว หลังจากนี้จะเป็นการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ต่อไปว่าจะกลับมาแบนคลิปเหมือนเดิมหรือไม่

ส่วนคดีมาตรา 112 นั้น ธนาธรได้ไปรายงานตัวตามหมายเรียกของพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา ส่วนวันนี้เป็นขั้นตอนการยื่นเอกสารคำให้การเพิ่มเติม และขั้นต่อไปคือ 2 มิถุนายน ตำรวจจะส่งตัวธนาธรให้อัยการเพื่อพิจารณาสั่งฟ้องต่อไป!

ตกลงแล้วประเทศไทยจะกลับตาลปัตรกันแบบนี้ คนออกมาเตือนด้วยความหวังดีแถมพูดถูกหมดทุกเรื่องแต่กลับยังโดนดำเนินคดีไม่หยุดหย่อน หรือประเทศนี้ใครยิ่งพูดเรื่องจริงก็ยิ่งเป็นอันตรายแก่ตน?

แล้วรัฐบาลที่ทำให้คนเจ็บคนตาย ทำให้เศรษฐกิจปากท้องประชาชนพังพินาศจากการดำเนินนโยบายวัคซีนที่ผิดพลาดนั้น...จะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยหรือ?

ประชาชนเจ้าของประเทศ จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปหรือ?


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"