“ประยุทธ์-ประวิตร” ย้ำขอโทษ “พุทธะอิสระ” อีกระลอก เมินข้อเสนอปลด “จักรทิพย์” ลั่นไม่ทำงานตามแรงกดดัน ชี้การลงโทษมีกฎหมายตามขั้นตอนอยู่แล้ว “ตู่-ป้อม-ป๊อก” พาเหรดประสานเสียงไม่ได้สนิทแนบแน่น ส่วน “จักรทิพย์” อ้างติดประชุมปล่อยสื่อรอคำขอโทษเก้อ “ท่านจันทร์” รุดเยี่ยม บอกลูกศิษย์อย่าโกรธ คสช. ย้ำยังไม่ได้สึก รออีกไม่นานก็ออกไปห่มเหลือง แค่มาติดคุกขำๆ “อภิสิทธิ์” ข้องใจคลิปผิดธรรมชาติ แนะจับตาหลังเหตุการณ์คลี่คลาย
เมื่อวันจันทร์ นายกฤช กระแสร์ทิพย์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์ถึงอาการปวดหลังของนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม ผู้ต้องหาคดีอั้งยี่ซ่องโจร และปลอมและใช้พระปรมาภิไธยโดยไม่ได้รับอนุญาต ว่าได้ประสานแพทย์ของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เข้าไปตรวจอาการปวดหลัง เนื่องจากเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เพื่อประเมินอาการว่าจะต้องรักษาดูแลอย่างไร และจำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่ทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์หรือไม่
“ได้เข้าไปพูดคุยสอบถามอาการพระพุทธะอิสระ ซึ่งย้ายไปคุมขังยังแดน 4 โดยเจ้าตัวบอกว่าไม่ต้องการออกจากเรือนจำเพื่อไปพบแพทย์ภายนอก เพราะไม่อยากตกเป็นเป้า และยังบอกด้วยว่าทนได้”
ทั้งนี้ ในช่วงเช้า ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ สมณะจันทเสฏโฐ หรือท่านจันทร์ และนายมหัศจักร โสดี ทนายความ พร้อมด้วยลูกศิษย์อดีตพระพุทธะอิสระกว่า 100 คน เดินทางมาเข้าเยี่ยมอดีตพระพุทธะอิสระ
นายมหัศจักรกล่าวว่า พระพุทธะอิสระปวดหลังและเจ็บบั้นเอวจากโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท แต่หน้าตายังสดใส และไม่ต้องการเข้ารับการรักษาใน รพ.ของกรมราชทัณฑ์ เพราะไม่อยากถูกมองว่ามีอภิสิทธิ์
ด้านท่านจันทร์กล่าวว่า พระพุทธะอิสระเดินออกมาจากห้องเยี่ยมญาติพร้อมกับวอล์กเกอร์ เนื่องจากมีอาการเจ็บหลัง แม้เจ้าหน้าที่จะแนะนำให้ไปโรงพยาบาลก็ปฏิเสธ เพราะกลัวถูกมองว่ามาสร้างปัญหา ทั้งนี้พระพุทธะอิสระฝากไปถึงลูกศิษย์ ไม่ต้องเป็นห่วงอย่าไปโกรธแค้นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือตำรวจกองปราบฯ การชำระพระพุทธศาสนา ฝากเราทำเองไม่ได้ แต่ คสช.ทำได้ จึงต้องให้กำลังใจ
“ท่านฝากบอกว่า การเข้ามาในเรือนจำยังไม่ทำให้พ้นจากความเป็นพระ เพราะยังไม่ได้เปล่งวาจาสึก รออีกไม่นานก็จะได้ออกไปห่มผ้าเหลืองเหมือนเดิม การเข้าคุกเป็นภารกิจปราบอลัชชี ให้คิดว่ามาติดคุกขำๆ ในช่วงวันวิสาขบูชา อยากให้กลุ่มศิษย์ไปทำบุญที่วัดอ้อน้อย จ.นครปฐมกันมากๆ” ท่านจันทร์กล่าว
ขณะเดียวกัน พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการ รพ.มงกุฎวัฒนะ ซึ่งได้โพสต์เฟซบุ๊กปลุกกระแสในโลกออนไลน์เมื่อวันอาทิตย์เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ใช้อำนาจมาตรา 44 ปลด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) รวมทั้งตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการจับกุมพระพุทธะอิสระได้ออกแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กอีกครั้ง หลังมีผู้แสดงความห่วงใยว่าจะได้รับผลกระทบจากกลุ่มคนที่จะไม่มาใช้บริการ
โดย พล.ต.นพ.เหรียญทองโพสต์ในหัวข้อว่า “รพ.มงกุฎวัฒนะ ไม่ขอรักษาควายในร่างคนครับ!” พร้อมยืนยันว่า รพ.มงกุฎวัฒนะเผชิญสถานการณ์ต่อต้านไม่ใช้บริการจากกลุ่มคนที่รังเกียจมานานกว่า 4 ปีแล้ว แต่ กลับมีผู้ใช้บริการมาอุดหนุนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2557 จนสามารถชำระหนี้คืนธนาคารกรุงไทยมากกว่า 500 ล้านบาทได้หมดสิ้นใน 8 เดือน และยังมีเงินซื้อที่ดินโดยรอบโรงพยาบาลอีก 200 ล้านบาท จึงไม่ต้องห่วงว่า รพ.มงกุฎวัฒนะจะเดือดร้อน
“ไอ้พวกต่อต้านผมด้วยการต่อต้าน รพ.มงกุฎวัฒนะ มันยิ่งทำให้คนดีๆ เห็นใจ และมาใช้บริการ รพ.มงกุฎวัฒนะมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นโรงพยาบาลของคนที่มีจิตสำนึกดี ไม่ใช่โรงพยาบาลรักษาควายในร่างคน”
เมินปลด"จักรทิพย์"
ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น ในช่วงเช้า พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นกรณีออกมาขอโทษการเข้าจับกุมพระพุทธะอิสระ รวมทั้งกรณี พล.ต.นพ.เหรียญทองเรียกร้องให้ปลด พล.ต.อ.จักรทิพย์ด้วย
ต่อมาในช่วงบ่าย พล.อ.ประยุทธ์กลับให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ ว่าเท่าที่ทราบมีผลกระทบต่อสังคม หลายคนอาจไม่เข้าใจ หลายคนอาจมองว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ซึ่งได้ขอโทษไปแล้ว และขอให้เห็นใจกับทั้งสองฝ่าย ในส่วนของเจ้าหน้าที่ก็พยายามทำหน้าที่ของเขา ซึ่งมันอาจมากไป ทั้งนี้ก็มีมาตรการในการลงโทษอยู่แล้ว คราวนี้ตำรวจเขาก็มีการลงโทษ ซึ่งในส่วนของข้าราชการก็มีหลายวิธีการด้วยกัน โดยเฉพาะในเรื่องของพระราชบัญญัติวินัยตำรวจ ทหาร การลงทัณฑ์ การภาคทัณฑ์ กักขัง และจำขัง ถ้าคดีไปถึงเรื่องของอาญาก็จะต้องดำเนินคดีอาญาด้วยทั้งหมด ก็อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการทั้งหมด
“ขอร้องว่าอย่าให้เกิดความสับสนอลหม่านมากเกินไป ผมก็ขอโทษด้วยนะ ผมเป็นหัวหน้ารัฐบาล แต่เวลาทำงานทุกหน่วยงานก็มีหน้าที่ มีกฎหมายของตัวเอง ตรวจสอบกระทำความผิดตรงไหนก็ไปทดสอบตรงนั้น ก็อยู่ที่ว่าวิธีการมาตรการมันจะมากหรือน้อยเกินไป หน่วยงานก็ต้องลงโทษเจ้าหน้าที่ของตัวเองก็โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บหรือสูญเสีย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อสอบถามถึงการเรียกร้องให้ปลด พล.ต.อ.จักรทิพย์ และทีมที่เข้าจับกุมพุทธะอิสระ พล.อ.ประยุทธ์สวนทันทีว่า เป็นเรื่องของตนเอง และจะไม่ทำงานภายใต้แรงกดดันอะไรทั้งสิ้น ก็ต้องไปดูว่าอะไรมันถูก อะไรมันผิด การลงโทษก็มีหลายมาตรการอยู่แล้ว ทั้งการตักเตือน การภาคทัณฑ์และการลงทัณฑ์ เขาก็มีการลงโทษของเขาอยู่ ไม่เช่นนั้นมันก็ยุ่งไปทั้งหมด
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวเช่นกันถึงกรณี พล.ต.นพ.เหรียญทองเรียกร้องว่า เป็นเพียงความคิดของคนเพียงคนเดียว ซึ่งเรื่องนี้ขอโทษประชาชนไปแล้ว สาเหตุเพราะมีประชาชนบางส่วนไม่เข้าใจ การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งต่อไป ก็ต้องดูให้ดีว่าทำอะไรกับใคร
เมื่อถามถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าต้องเข้าจับกุมพุทธะอิสระแบบนั้น เพราะมีการ์ด กปปส.เฝ้าอยู่ พล.อ.ประวิตรตอบว่า เรื่องนี้ไม่รู้ ไม่มีข้อมูล ซึ่งการจับกุมพุทธะอิสระครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อรัฐบาล เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ แต่บางทีก็ทำอะไรเกินเลยไปหน่อย ก็ขอโทษนะ
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 5/2561 ที่ห้องประชุมศรียานนท์ โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที ท่ามกลางสื่อมวลชนที่เฝ้าจับตาเพื่อรอสัมภาษณ์ในกรณีการจับกุมอดีตพระพุทธะอิสระ
โดยก่อนการประชุมทีมงานโฆษก ตร.ได้ประสานผู้สื่อข่าวประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ถึงประเด็นข่าวต่างๆ ที่สัมภาษณ์ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ซึ่งทีมงานโฆษก ตร.ก็ยืนยันว่า ผบ.ตร.จะให้สัมภาษณ์เรื่องการจับกุมพระพุทธอิสระ รวมถึงการกล่าวคำขอโทษเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร แต่ปรากฏว่าเมื่อประชุมเสร็จ พล.ต.อ.จักรทิพย์กลับรีบเดินเข้าลิฟต์เพื่อขึ้นสำนักงานทันที โดยมีทีมงานรักษาความปลอดภัยเข้มงวด เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามตามเข้าไปสอบถามเรื่องการจับกุมพระพุทธะอิสระ ตำรวจสันติบาลก็ได้พยายามกันไม่ให้เข้าไปสัมภาษณ์ แต่ก่อนจะเข้าลิฟต์ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ต้องรีบไปประชุมต่อ
พาเหรดปัดเป็นลูกศิษย์
ขณะเดียวกัน ในโลกออนไลน์มีการเผยแพร่ภาพแสดงถึงรัฐมนตรี และ คสช.หลายคนสนิทสนมและเป็นลูกศิษย์ลูกหาพระพุทธะอิสระ โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “มันเกิดประโยชน์อย่างไรหรือไม่ และเรื่องนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตนเองก็เคารพพระทุกรูป ในช่วงเวลานั้นก็ไปหลายวัด ไปสร้างพระก็ไปกันทั้งหมด ทุกคนก็ไป แล้วเมื่อก่อนการเมืองเขาเป็นแบบนี้หรือไม่ล่ะ
“วันนี้อย่าเอาอันเก่ามาพันกับอันนี้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครเชิญผมก็ไป ถ้าไปได้ผมก็ไป วันดังกล่าวดูเหมือนเขาจะเชิญไปรอพระอะไรสักอย่าง ซึ่งท่านก็เชิญผม และอดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) 4 คน ท่านก็หวังแต่เพียงว่ามีทั้ง 4 ผบ.ทบ.พระจะขลังหน่อย ก็แค่นั้นเอง อย่าพูดอะไรให้มันเสียหายกันนักเลย”
เมื่อถามต่อว่า พระรุ่นดังกล่าวยังขลังอยู่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ขลังหรือไม่เล่า ไม่รู้ ดูศาสนาเป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชท่านทรงมีคำสอนมาแล้วว่า ให้ใช้หลักอริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค หาให้เจอ หาหนทางดับทุกข์ให้เจอ หาหนทางดับความไม่สงบเรียบร้อยของประเทศเราให้เจอ ซึ่งรัฐบาลพยายามหามาตลอด 4 ปีแล้ว ซึ่งพวกเราเองก็ต้องหาให้เจอด้วย
พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงภาพไปทำบุญกับพุทธะอิสระ รวมถึงการเจิมหน้าผากว่า เกิดขึ้นตั้งนานแล้ว 6-7 ปีแล้ว ไม่เกี่ยวกรณีว่าใกล้ชิดหรือสนิทสนมกัน ซึ่งก็รู้จักตอนไปในครั้งนั้น จะเรียกว่าเป็นลูกศิษย์หรือไม่
ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวเช่นกันว่า เป็นเหตุการณ์หลังจากที่เกษียณราชการแล้ว วัดได้เชิญอดีต ผบ.ทบ.ในขณะนั้นไปร่วมงานหล่อพระพุทธรูป ประกอบด้วย พล.อ.สมทัต อัตตะนันทน์ พล.อ.ประวิตร, พล.อ.ประยุทธ์ และตนเองเดินทางไปร่วมงานในฐานะพุทธศาสนิกชน และไม่ได้เดินทางไปวัดนี้เพียงแห่งเดียว แต่เดินทางไปวัดอื่นๆ ด้วย และในปี 2561 จะเดินทางไปหล่อพระพุทธรูปตามสถานที่ต่างๆ คงไม่มีประเด็นอะไร ถ้าเขานุ่งผ้าเหลืองมาเชิญ สมควรไปก็ไป ไม่ได้มีอะไรที่เป็นข้อเสียหายในขณะนั้นเราก็ไป
“การจับกุมพุทธะอิสระนั้น ทุกคนทำไปตามหน้าที่ ขอให้ตรึกตรองกันให้ดี อย่าใช้ความรู้สึกหรืออารมณ์กันมากนัก คนที่เขาทำตามกฎหมายก็ต้องดำเนินการไป หากดำเนินการแล้วประชาชนคิดว่าเกิดความรุนแรงก็มีสิทธิคิดได้ นายกฯ และผู้เกี่ยวข้องก็ได้ออกมาขอโทษสังคมแล้วว่าอาจรุนแรงไป ขณะที่ผู้ปฏิบัติก็มีเหตุผล จึงอยากให้สังคมรับฟังและพิจารณาเอาเอง” พล.อ.อนุพงษ์กล่าว
เมื่อถามว่า รัฐบาลจะเสียคะแนนนิยมหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ยืนยันว่า ไม่มีเสียคะแนนอะไร เพราะทำไปตามอำนาจหน้าที่ สื่อเอาไปโยงแบบนั้น แต่มองว่าไม่เห็นจะเกี่ยวอะไร
วันเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการจับกุมพุทธะอิสระว่า เรื่องนี้ไม่ว่าฝ่ายไหนเราก็ต้องบอกว่าทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายก็ต้องทำโดยเสมอภาคกัน แต่สิ่งที่ต้องยอมรับและคิดว่าตำรวจน่าจะต้องคำนึงถึงมาก คือเรื่องของพระสงฆ์นั้น ประชาชนมีความศรัทธา ถ้าเราไปดำเนินการในรูปแบบอะไรที่ไม่คำนึงถึงความละเอียดอ่อนก็จะมีปฏิกิริยาตามมา
“เห็นคลิปที่บุกจับพุทธะอิสระรู้สึกตกใจ ว่าทำไมต้องปฏิบัติเช่นนี้ เพราะความผิดที่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นนานแล้ว อีกทั้งไม่ได้มีอะไรที่บ่งบอกว่ากำลังจะหลบหนี หรือต่อสู้ขัดขืน จนทำให้ผู้ใหญ่ในรัฐบาลถึงขั้นออกมาขอโทษว่าอาจทำเกินกว่าเหตุ แต่เรื่องนี้พุทธะอิสระก็นิ่งมาก โดยความปรารถนาของท่านคือ ทำอย่างไรถึงจะสะสางความไม่โปร่งใส คอร์รัปชันในวงการสงฆ์ให้ได้ และความจริงการดำเนินการทางกฎหมายกับพระสงฆ์ค่อนข้างมั่นใจว่าสามารถปฏิบัติได้ด้วยความนุ่มนวล ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกในหมู่ประชาชนที่มีความศรัทธาอย่างที่เกิดขึ้น” นายอภิสิทธิ์กล่าว
“มาร์ค”ข้องใจผิดธรรมชาติ
นายอภิสิทธิ์ย้ำว่า การที่นายกฯ และ พล.อ.ประวิตรออกมาขอโทษแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งรัฐบาลคงพยายามบอกว่าตำรวจก็ใช้ดุลพินิจตนเองในการทำหน้าที่ เข้าใจว่ารัฐบาลคงไม่อยากกระโดดลงมาหรือเข้าไปแทรกแซงให้เรื่องสลับซับซ้อนไปกว่านี้ แต่คงรับรู้ความรู้สึกของประชาชนส่วนหนึ่ง จึงต้องแสดงท่าทีอย่างนี้เพื่อหาทางออกให้บรรยากาศคลี่คลายไปทางที่ดีขึ้น แต่ในที่สุดแล้วก็ถูกบางฝ่ายโยงเป็นเรื่องการเมือง ว่าทำไมต้องมาขอโทษ สังคมไทยยังวนเวียนอยู่กับเรื่องการมองต่างเป็นเรื่องพวก
“สงสัยการถ่ายคลิปว่าขณะที่บุกเข้าไปดูเหมือนตื่นเต้นมาก แต่คนก็สามารถยืนถ่ายคลิปได้อย่างนิ่งๆ และสามารถเผยแพร่ออกมาได้ด้วย ก็แปลกอยู่ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดดูแล้วขาดความเป็นธรรมชาติ และสุดท้ายก็ต้องดูต่อไป เมื่อคดีต่างๆ คลี่คลายลงก็อาจจะได้คำตอบว่าของจริงคืออะไร” นายอภิสิทธิ์กล่าว
วันเดียวกัน ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อขอให้ตรวจสอบการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการบุกจับอดีตพระพุทธะอิสระ ว่ามีพฤติการณ์ไม่เหมาะสม และอาจเข้าข่ายไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่ มีลักษณะเหยียดหยามศาสนา ถือว่าเป็นการกระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ
“แม้นายกฯ และรองนายกฯ ออกมากล่าวขอโทษต่อประชาชนและศิษยานุศิษย์ของพุทธะอิสระแล้วก็ตาม แต่ขอคำโทษก็เป็นเพียงแค่คำพูดที่ไม่สามารถใช้เป็นบรรทัดฐานในทางกฎหมายถึงการกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจอื่นๆ ในอนาคต ดังนั้น สมาคมจึงขอมาร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงกฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใดๆ เกี่ยวกับการดำเนินการจับกุมพระภิกษุสงฆ์เพื่อไม่ให้เกิดการกระทำที่ไม่สมควรแก่เหตุ รวมทั้งลงโทษเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทั้งหมด ตั้งแต่ผู้สั่งการไปจนถึงผู้ปฏิบัติ" นายศรีสุวรรณกล่าว
หลังจากนั้นเวลา 11.00 น. นายศรีสุวรรณได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ว่าเข้าข่ายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |