8 พ.ค. 2564 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้ พ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อใช้ในสถานการณ์โควิด-19 เมื่อวันที่ 7 พ.ค.2564 เห็นชอบ กำหนดเวลาการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ใช้สิทธิ์ในโครงการเราชนะ และโครงการ ม33 เรารักกัน อีกคนละ 2 พันบาท โดยจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ ในวันที่ 11 พ.ค.2564
สำหรับโครงการเราชนะ จะโอนเงินให้ผู้ได้สิทธิ์ ในกลุ่มที่ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ บัตรประชาชน รอบแรก 1 พันบาท ในวันที่ 21 พ.ค.2564 และอีก 1 พันบาท ในวันที่ 28 พ.ค.2564 ส่วนกลุ่มที่ใช้สิทธิ์ผ่านแอพลิเคชันเป๋าตัง จะได้รับเงินรอบแรกวันที่ 20 พ.ค.2564 และงวดวันที่ 27 พ.ค.2564
ส่วนโครงการการ ม33 เรารักกัน จะโอนเงินงวดแรกในวันที่ 24 พ.ค.2564 และ งวด 31 พ.ค.2564 โดยมาตรการครอบคลุม ในส่วนโครงการเราชนะ 33.5 ล้านคน และโครงการ ม33 เรารักกัน ครอบคลุม 9.27 ล้านคน โดยที่ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ ระบบจะโอนเงินเข้าอัตโนมัติ โดยใช้จ่ายได้ถึงวันที่ 30 มิ.ย.2564
นางสาว กุลยา กล่าวอีกว่า เบื้องต้นประเมินว่ามาตรการเยียวยาผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ วงเงินรวมกว่า 2.4 แสนล้านบาท ที่ผ่านความเห็นชอบในหลักการของคณะรัฐมนตรี (ครม.) หากดำเนินการได้ตามเป้าหมาย จะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในปี 2564 มากกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการช่วยสนับสนุนให้ตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 1%
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะมีการปรับประมาณการตัวเลขจีดีพีอีกครั้งในเดือน ก.ค. 2564 จากปัจจุบันคาดการณ์จีดีพีอยู่ที่ 2.3% โดยหากรวมกับปัจจัยเสริมในเรื่องมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการระบาดจากโควิด-19 ระลอกใหม่ ก็มีโอกาสที่ตัวเลขจีดีพีปี 2564 จะขยับเพิ่มขึ้นใกล้ระดับ 2.8% ได้
“มาตรการเยียวยาที่ออกมาครั้งนี้มีส่วนช่วยจีดีพีได้มากกว่า 1% เมื่อเทียบกับหากไม่มีการดำเนินโครงการเหล่านี้เลย แต่คงจะเอาไปบวกกับคาดการณ์ปัจจุบันที่ 2.3% เลยไม่ได้ เพราะคาดการณ์ดังกล่าวมีการพิจารณาบางโครงการรวมไปแล้ว แต่ยอมรับว่ามีโอกาสสูงที่จีดีพีจะขยับใกล้ระดับ 2.8% ซึ่งเป็นกรอบที่กระทรวงการคลังได้วางไว้ แต่ทั้งหมดยังต้องอยู่ภายใต้สมมุติฐานปัจจุบันด้วย เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ค่าเงินบาท และปัจจัยอื่น ๆ” นางสาวกุลยา กล่าว
นางสาวกุลยา กล่าวอีกว่า วงเงินที่ใช้ในการดำเนินมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ยังมาจาก พ.ร.ก. กู้เงินฉุกเฉิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งยังมีเพียงพอ พร้อมทั้งยืนยันว่าสถานการณ์ด้านการคลังในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่เข้มแข็ง โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ 53% ต่อจีดีพี ถือว่ายังมีช่องว่างในการกู้เงินเพิ่มเติมได้ แต่ไม่อยากให้มองว่าแม้จะมีช่องว่างรัฐบาลก็จะดำเนินการกู้เงินทั้งหมด เพราะทุกอย่างต้องประเมินตามสถานการณ์และความจำเป็น
“ความยั่งยืนทางการคลัง ในเรื่องเงินคงคลัง ฐานะการคลัง หนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยยังถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง รวมทั้งบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่าง ๆ ก็ยังคงเครดิตเรตติ้งประเทศไทยไว้ และมีมุมมองที่ดีขึ้น ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการจัดอันดับ ก็มาจากเรื่องความยั่งยืนทางการคลังและสถาบันการเงินที่เข็มแข็ง ทำให้มั่นใจได้ว่าสถานการณ์ด้านการคลังยังแข็งแกร่ง” นางสาวกุลยา กล่าว
อย่างไรก็ดี ในส่วนโครงการใหม่สำหรับกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ และมีรายได้ค่อนข้างสูง คือ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ซึ่งรัฐจะสนับสนุน e-Voucher ค่าซื้อสินค้า ค่าอาหาร เครื่องดื่ม และบริการกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ไม่เกิน 5 พันบาทต่อคนต่อวัน สะสมสูงสุดไม่เกิน 7 พันบาทต่อคน โดยการใช้จ่ายจะได้รับ e-Voucher ตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย. 2564 และใช้จ่าย e-Voucher ได้ในเดือน ส.ค. - ธ.ค. 2564 ซึ่งการใช้จ่ายจะดำเนินการผ่าน G-Wallet ในแอปพลิเคชันเป๋าตัง โดยมาตรการนี้ครอบคลุม 4 ล้านคน เบื้องต้นมีการประเมินว่าหากประชาชนมีการใช้จ่ายเต็มที่ 6 หมื่นบาทต่อคน เพื่อรับ e-Voucher คืนที่ 7 พันบาทต่อคน จะช่วยทำให้มีเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |