คงต้องยอมรับว่า...โดยลักษณะเฉพาะ หรือลักษณะพิเศษ ของโลกยุคใหม่ สังคมสมัยใหม่ หรือจะเรียกว่า สังคมอินเทอร์เน็ต ก็คงพอได้ นับวันออกจะเต็มไปด้วยบรรดาผู้คนที่ตามศัพท์แสงของพวกคนรุ่นใหม่ เขาเรียกว่าพวก หิวแสง อะไรทำนองนั้น ชักจะทวีจำนวนและปริมาณเพิ่มยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
----------------------------------------------
คือประเภทอยากเด่น อยากดัง โดยไม่จำเป็นต้องดี-ไม่ดี อยากเป็นซัมบอดี้ อยากให้แสงไฟ แสงแฟลช แสงชัตเตอร์ อาบร่าง ครอบคลุมร่าง ของตัวเองไปโดยตลอด แบบเดียวกับประเภทไอ้ เดฟ เลอดั๊ก นักมวยคาดเชือกชาวแคนาดา ที่พยายามกู่ก้อง ร้องท้า พยายามยั่วยวนกวนส้นตีน บัวขาว ป.ประมุข เพื่อให้พอมีโอกาสได้ทาบรัศมี หรือได้มีแสงแฟลช แสงสปอตไลต์ ทาบร่าง ชโลมร่าง ตัวเองขึ้นมามั่ง โดยไม่จำเป็นต้องสนใจถึงนิทาน ตำนาน ข้อมูล ข้อเท็จจริง ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...
--------------------------------------------
หรือพูดง่ายๆ ว่า...มันเป็นสังคมที่ อารมณ์ ชักจะอยู่เหนือ เหตุผล เข้าไปทุกที เหมือนกับที่ โลกเสมือนจริง ชักจะมีบทบาท อิทธิพล เหนือไปกว่า โลกแห่งความเป็นจริง สามารถครอบงำ ครอบครอง และ ช่วงชิงพื้นที่ จนมีส่วนทำให้การ อยู่ร่วมกันโดยสันติ ภายในโลกยุคนี้ สมัยนี้ ออกจะเป็นอะไรที่ลำบาก ยากเย็น ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ คือแทบไม่ต้องเสียเวลาไปนำเอาเหตุผล ข้อมูล ข้อเท็จจริง มาชี้แจง แจกแจง ให้เห็นรายละเอียดเป็นข้อๆ ต่อไปอีกแล้ว เพราะถึงจะเป็น ความจริง หรือกระทั่งเป็น สัจธรรม เอาเลยก็ตามที แต่ถ้าหากมันดันไม่สอดคล้อง ต้องกัน ไปกับ อารมณ์-ความรู้สึก ในแบบใด แบบหนึ่ง หรือแบบที่พวก หิวแสง พยายามนำเสนอ ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากการ สีซอ-ให้ควายฟัง อะไรประมาณนั้น...
-----------------------------------------------
ยิ่งในช่วงที่ โควิด-ไม่โควิด หรือช่วงของความแตกตื่น ตื่นตระหนก สับสน โกลาหล ยิ่งมีส่วนสำคัญเอามากๆ ในการทำให้สิ่งที่เรียกว่า อารมณ์ ยิ่งมีบทบาท อิทธิพล เหนือไปกว่า เหตุผล ใดๆ แทบทั้งสิ้น ทั้งปวง การสีซอให้ควายฟัง หรือการชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริง ชนิดปากเปียก-ปากแฉะ แม้ย่อมถือเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็จะไป เล็งผลเลิศ ว่ามันจะนำมาซึ่งความรู้ ความเข้าถึง-เข้าใจ จนสามารถนำความสงบและเรียบโร้ยย์ย์ย์กลับคืนมาสู่สังคมได้ง่ายๆ อันนั้น...ก็อาจหวังสูงจนเกินไป และอาจนำมาสู่ความ หวังเหวิด เอาง่ายๆ ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ประเพณี ใดๆ ก็แล้วแต่...
----------------------------------------------
เผลอๆ...อาจด้วยสิ่งที่เรียกว่า อารมณ์ นี่แหละ ถ้ามันถูกนำไปจุดชนวน จุดติด จุดไฟในนาคร ในเรื่องบางเรื่องที่เผอิญสอดคล้อง ต้องกัน กับภาวะความเป็นไปของสังคม หรือตรงช่อง ตรงจังหวะ ขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่จะเกิดอาการล้มครืน หรือล่มสลายไปทั้งสังคม ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลย!!! โดยเฉพาะสังคมที่ยังปราศจาก เครือข่ายป้องกันทางสังคม ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีความประณีต ละเอียดอ่อน ด้วยการถักทอบูรณาการกันมาเป็นชั้นๆ ทั้งทางวัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยมทางสังคม จนสามารถกำหนดทิศทางความเป็นไปทางเศรษฐกิจและการเมือง ได้อย่างเป็นมรรคเป็นผล...
-------------------------------------------------
อย่างไรก็ตาม...การรับมือกับ อารมณ์ ที่มันวูบไหว ไป-มา ในขั้นต้นๆ นั้น ย่อมหนีไม่พ้นไปจาก “ความนิ่ง” นั่นแหละทั่น!!! หรือถ้าพูดให้เป็น ภาษาพระ ขึ้นมาซักหน่อย ก็คือความมี สติ ความไม่สะบัด กวัดแกว่งไป-มา ไม่วี้ดๆ แว้ดๆ ไม่เอะอะโวยวาย ให้ต้องมากเรื่อง มากความ หรือเป็นเรื่อง เป็นความ ค่อยๆ เดินไปตามข้อมูล ข้อเท็จจริง โดยไม่คิดผันแปรไปเป็นอื่น เดินไปตาม ครรลอง-คลองธรรม แบบชนิดก้าวต่อก้าว แม้อะไรที่ชี้แจงไปแล้ว แสดงออกถึงความจริงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันยังไม่ส่งผล ไม่ก่อให้เกิดมรรค เกิดผล ตามที่ปรารถนาและต้องการได้จริง แต่การยืนหยัด มั่นคง กับสิ่งที่เป็นความจริง เป็นสัจธรรม ท้ายที่สุด...ย่อมต้องคงทน ถาวร กว่าสิ่งที่วูบไหว-ไปมา อยู่แล้วแน่ๆ...
-------------------------------------------------
และก็แน่นอนนั่นแหละว่า...ระหว่างที่มันยังไม่ส่งผล ยังไม่เกิดมรรค ไม่เกิดผล การหาทางดำรง รักษา ความนิ่ง ให้มั่นคง คงทน ต่อไปให้ได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ย่อมหนีไม่พ้นต้องอาศัยสิ่งที่ ภาษาพระ ท่านเรียกว่า ขันติธรรม นั่นแล คือความอดทน อดกลั้น ต่อสิ่งที่ไม่ใช่แต่เฉพาะที่ตัวเองมิพึงปรารถนาและต้องการเท่านั้น แต่กระทั่งสิ่งที่ตัวเองเพรียกหา เรียกหา ไม่ว่าคำชม คำเชียร์ คำเชลียร์ระดับ 3 เวลาหลังอาหาร หรือระดับ ขนติดปาก ก็แล้วแต่ ก็ต้องหมั่น ตั้งสติ เอาไว้ให้ดีๆ ไม่เพลิด-ไม่เพลิน ไม่เจริญขึ้น-เจริญลง ไม่วูบๆ-ไหวๆ ไปตามคำชม คำเชียร์ ที่อาจทำให้ตัวเองไม่ได้ต่างอะไรไปจากพวก หิวแสง มากมายซักเท่าไหร่นัก...
-------------------------------------------------
มาถึงขั้นนี้ หรือในช่วงระยะนี้...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เอาจริงๆ นั่นแหละว่า ท่ามกลางความสับสน โกลาหล ของสังคมไทยในทุกวันนี้ สิ่งที่เรียกว่า อารมณ์ มันน่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เหตุผล ไปแล้วมิใช่น้อย และกำลังถูกยกระดับพัฒนาไปสู่สิ่งที่เคยเป็น รากฐานความมั่นคง ของบ้านเมือง ของชาติ ของสังคม จนการ อยู่ร่วมกันโดยสันติ ยิ่งเป็นอะไรที่ยากยิ่งเข้าไปทุกที ปราการด่านสุดท้ายเท่าที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือ กฎหมาย กับ ความนิ่ง นั่นแหละ ที่ต้องใช้ให้ถูก ใช้ให้เป็น ใช้อย่างมีสติ และมีจังหวะ จะโคน มันถึงจะพอ ยืนระยะ ต่อไปได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ...
------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9... “ความสงบ หนักแน่น เป็นเครื่องผ่อนปรนและระงับความรุนแรง ความขัดแย้ง-ไม่เข้าใจในกันและกันได้ในทุกๆ กรณี โดยเฉพาะความสงบหนักแน่นในจิตใจนั้น ทำให้เกิดความยั้งคิด พิจารณาตามเหตุตามผล จึงช่วยให้สามารถขบคิด วินิจฉัย เรื่องราวปัญหาและการกระทำได้ถูกต้อง พอเหมาะ พอดี มีประสิทธิผล”
---------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |