ไบเดนตั้งใจแก้โลกร้อนหรือแค่ “สร้างภาพ” “ซื้อเวลา”


เพิ่มเพื่อน    

ภาพ : เยาวชนรุ่นใหม่ต่อต้านภาวะโลกร้อน
เครดิตภาพ
: https://www.euractiv.com/section/climate-environment/news/un-climate-summit-diary-day-1-big-announcement-expected/

 

         22 เมษายน 2021 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน (Joe Biden) ประกาศสหรัฐตั้งเป้าจะลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อย 50% ภายในปี 2030 เมื่อเทียบกับระดับก๊าซเรือนกระจกปี 2005 หลังรัฐบาลไบเดนกลับมายึดข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) หวังเป็นประเทศผู้นำแก้ภาวะโลกร้อนอีกครั้ง

                เป้าหมายตามข้อตกลงปารีสคือโลกจะต้องไม่ร้อนขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียส โดยจะพยายามควบคุมไม่ให้ร้อนขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส ข้อมูลเมื่อปลายปี 2020 ของ United Nations Environment Program ชี้ว่าโลกส่อร้อนขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าจะเกิน 3 องศาเซลเซียลก่อนสิ้นศตวรรษนี้

                ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์บอกเราว่าทศวรรษนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ เป็นทศวรรษที่ต้องตัดสินใจว่าจะหลีกเลี่ยงผลจากวิกฤติโลกร้อนหรือไม่ โลกที่ร้อนขึ้น 1.5 องศาหมายถึงเกิดไฟป่า น้ำท่วม ภัยแล้ง ร้อนจัด เกิดพายุหนักบ่อยกว่าเดิม กระทบต่อชุมชน วิถีชีวิต

ทรัมป์ผู้ถอนตัวจากข้อตกลงปารีส :

                ย้อนหลังพฤศจิกายน 2019 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐยื่นเรื่องถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสต่อสหประชาชาติ ชี้ว่ามีแผนลดภาวะโลกร้อนของตัวเอง แม้หลายประเทศไม่เห็นด้วย พยายามขอให้สหรัฐอยู่ต่อ ท้ายที่สุดไม่มีใครสามารถห้ามรัฐบาลทรัมป์

                แม้เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่าก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas หรือ GHG) คือสาเหตุสำคัญทำให้โลกร้อนขึ้น และก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่มาจากพลังงานฟอสซิล (Fossil Fuels) เช่น น้ำมัน ถ่านหิน แต่รัฐบาลทรัมป์ไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปเรื่องโลกร้อน ออกนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานฟอสซิล ทั้งๆ ที่พลังงานฟอสซิลคือที่มาของก๊าซทำให้โลกร้อนถึง 80%

                จะว่าไปแล้วแนวคิดของทรัมป์ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสังคมอเมริกันถกเถียงประเด็นนี้เรื่อยมา พวกยึดถือลัทธิเสรีนิยมใหม่ (neoliberalism) เห็นว่าหากให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อมมากจะกระทบการค้าการลงทุน ต่างจากพวกนักสิ่งแวดล้อมเห็นว่าสิ่งแวดล้อมคือความยั่งยืน การขยายตัวของโลกาภิวัตน์อาจทำให้สิ่งแวดล้อมโลกเสื่อมโทรมเร็วขึ้น เพราะต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  

                อุปสรรคสำคัญที่สุดหากจะแก้โลกร้อนคือต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล ต้องปรับระบบการผลิตซึ่งลดขีดความสามารถการแข่งขัน คนว่างงานสูงขึ้น ด้วยเหตุผลเหล่านี้ผู้นำประเทศหลายคนจึงไม่ยอมแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

ทรัมป์ผู้ปฏิเสธหลักฐานวิทยาศาสตร์ :

            ประเด็นที่สำคัญมากๆ คือ รัฐบาลทรัมป์ไม่ยอมรับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งจากสหประชาชาติ และจากหน่วยงานของสหรัฐ

                ข้อมูลสหประชาชาติปี 2019 เผยว่า ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่โลกปล่อยยังคงเพิ่มสูงขึ้น และไม่มีทีท่าจะลดลง ช่วงปี 2016-2019 อุณหภูมิโลกร้อนทำลายสถิติถึง 4 ครั้ง เฉพาะที่แถบขั้วโลกเหนือเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียลเมื่อเทียบกับปี 1990 ระดับน้ำทะเลกำลังเพิ่มสูงขึ้น ปะการังตาย การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศคุกคามชีวิตมากขึ้นทุกที มีผลต่อสุขภาพ ทั้งจากมลพิษอากาศ คลื่นความร้อน เสี่ยงต่อความมั่นคงทางอาหาร เหล่านี้เป็นสัญญาณโลกร้อนที่ทุกคนรับรู้ได้

                รายงาน “การประเมินสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ”  (National Climate Assessment) ฉบับปี 2018 อันเป็นผลงานร่วมของหน่วยงานภาครัฐสหรัฐหลายแห่งสรุปว่าสภาพภูมิอากาศโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เร็วที่สุดตั้งแต่เริ่มมีอารยธรรมโลก ต้นเหตุมาจากฝีมือมนุษย์

                ผลจากภาวะโลกร้อนกระทบถึงสหรัฐแล้ว และรุนแรงชัดเจนยิ่งขึ้น มีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ สุขภาพ ภาวะเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางอาหาร (ผลผลิตการเกษตรลดลงเนื่องจากอากาศร้อนขึ้น เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง)  ธรรมชาติผิดปกติ สถานการณ์จะเลวร้ายลงอีกเมื่อยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไป

                ข้อสรุปสำคัญคือรัฐบาลสหรัฐอย่างทรัมป์สามารถทิ้งหลักฐานเหล่านี้และเดินหน้านโยบายที่สวนทางแก้ปัญหาโลกร้อน ชวนให้สงสัยข้ออ้างว่าผลประโยชน์ที่ได้น้อยกว่าราคาทางเศรษฐกิจที่ต้องจ่ายนั้นจริงหรือไม่ เพราะรายงาน “การประเมินสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ” ของสหรัฐประเมินความเสียหายต่อเศรษฐกิจไว้มหาศาล รัฐบาลทรัมป์มีวาระแอบแฝงผลประโยชน์ซ่อนเร้นหรือไม่

                รัฐบาลทรัมป์เป็นเพียงตัวอย่างที่นำมาเอ่ยถึง ความจริงแล้วมีอีกหลายสิบประเทศทั่วโลกเป็นเช่นนี้

                องค์การออกแฟม (Oxfam International) นำเสนอความเหลื่อมล้ำทางสังคมเศรษฐกิจ รายงานฉบับปี 2021 ชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามมนุษยชาติที่รุนแรงที่สุด (มากกว่าโรคระบาดโควิด-19) ทำลายสิ่งมีชีวิตมากมายแล้ว คนยากจน คนด้อยโอกาส สตรีมักได้รับผลกระทบรุนแรงกว่ากลุ่มอื่นๆ

                ทางแก้คือต้องสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green economy) รักษาโลกที่สมบูรณ์เพื่อชนรุ่นหลัง เลิกอุดหนุนการใช้พลังงานน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน เก็บภาษีคาร์บอน (carbon tax) ซึ่งมหาเศรษฐีคือผู้ปล่อยก๊าซนี้มหาศาล นำภาษีส่วนนี้ส่งเสริมลดการปล่อยก๊าซที่กำลังคุกคามมนุษยชาติ อุดหนุนรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำกับสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องเดียวกัน รัฐบาลต้องจัดการทั้ง 2 เรื่องอย่างจริงจัง

รัฐบาลสหรัฐจริงจังกับการแก้ปัญหามากแค่ไหน :

                ผลจากการที่รัฐบาลสหรัฐชุดหนึ่งแก้ปัญหาโลกร้อน แต่ชุดถัดมาฉีกข้อตกลง เป็นเช่นนี้สลับไปมา ทำให้การต่อต้านโลกร้อนของสหรัฐ “ไม่ไปไหน” “ย่ำอยู่กับที่” เกิดคำถามว่านี่คือกลยุทธ์ “ซื้อเวลา” ของรัฐบาลสหรัฐใช่หรือไม่

                ในยามที่หลายประเทศทั่วโลกเดินหน้าแก้ปัญหา แม้ส่วนใหญ่จะทำน้อยกว่าที่ควร

                สัปดาห์ที่ผ่านมาประธานาธิบดีไบเดนจัดประชุม เชิญผู้นำหลายสิบประเทศเข้าร่วม ชี้แจงแนวทางแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเด็นไม่อยู่ที่นโยบายของไบเดน แต่อยู่ที่รัฐบาลสหรัฐจะทำต่อเนื่องหรือไม่ ขนาดข้อตกลงปารีสที่หารือหลายปีจนนานาชาติได้ข้อสรุปร่วมยังละทิ้งได้

                ใครจะรับประกันได้ว่ารัฐบาลสหรัฐชุดต่อไปจะไม่ฉีกความตั้งใจของไบเดน หันกลับไปใช้นโยบายให้โลกร้อนเร็วกว่าเดิม อย่าลืมว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะรวมพลเมืองอเมริกันด้วย ทุกวันนี้ทางการสหรัฐยอมรับเรื่องนี้อยู่แล้ว

                การ “สร้างภาพ” “ซื้อเวลา” อาจช่วยให้รัฐบาลเอาตัวรอดได้ แต่เท่ากับโยนภาระปัญหาให้ลูกหลานในอนาคตใช่หรือไม่ ดังที่เสียงจากเยาวชนคนรุ่นใหม่เรียกร้องต่อผู้นำประเทศต่างๆ ชี้ว่าพวกคนมีอำนาจมักพูดจาฟังดูดี แต่คำพูดของเขาไม่มีประโยชน์ จะมีประโยชน์อะไรที่ผู้ใหญ่สอนเราให้เป็นคนดีมีความรับผิดชอบ แต่กลับเป็นผู้ทิ้งปัญหาแก่เรา ต้องลงมือแก้ไขจริงจัง ไม่ใช่ดีแต่พูด

            พวกเขาต้องเป็นผู้แบกรับความทุกข์ยากบนความสะดวกสบายของผู้ใหญ่ในรุ่นนี้

                ผู้ติดตามการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือภาวะโลกร้อนจะพบว่ารัฐบาลสหรัฐขัดขวางข้อตกลงนานาชาติมานานแล้ว ตั้งแต่พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) เมื่อปี 1995 ให้นานาชาติลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

                ข้อตกลงปารีสเมื่อปี 2015 เป็นข้อตกลงนานาชาติฉบับใหม่ที่รัฐบาลโอบามาลงนาม แต่ถูกยกเลิกอย่างรวดเร็วเมื่อเปลี่ยนรัฐบาล เมื่อทบทวนตั้งแต่ต้นจนจบ เกิดคำถามว่าการเจรจามีข้อตกลงต่างๆ เป็นกลอุบายของรัฐบาลสหรัฐหรือไม่ ที่หวังให้นานาชาติลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยกันแก้โลกร้อน แต่ส่วนตนนั้นทำแค่ “สร้างภาพ” “ซื้อเวลา” ไม่ได้ตั้งใจแก้ปัญหาจริง ด้วยเหตุผลว่ากระทบต่อเศรษฐกิจ วิถีชีวิตคนอเมริกัน.

--------------------------
 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"