"อดีตพุทธะอิสระ" นั่งรถเข็นในคุก! โรคปวดหลังกำเริบ นายกฯ ปัดเข้าข้างใคร แจงขอโทษเหตุ จนท.ทำไม่เหมาะสม "ศรีสุวรรณ" ร้องผู้ตรวจฯ-กสม. ชี้จับหลวงปู่เหยียดหยามศาสนา "หมอเหรียญทอง" เตือนระวังน้ำผึ้งหยดเดียว บี้ "บิ๊กตู่" ใช้ ม.44 เด้งผบ.ตร.-ชุดคอมมานโด อดีตผู้พิพากษาแฉปล่อยคลิปมุ่งทำลาย คสช.-รัฐบาล
เมื่อวันที่ 27 มกราคม นายกฤช กระแสร์ทิพย์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงการควบคุมตัวนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ ผู้ต้องหาคดีอั้งยี่ซ่องโจรและปลอมพระปรมาภิไธย รวมถึงอดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป ผู้ต้องหาคดีทุจริตงบประมาณเผยแผ่พระพุทธศาสนา หรือคดีเงินทอนวัดว่า ตอนนี้เรือนจำได้แยกทั้ง 6 ราย จากแดนแรกรับไปคุมขังยังแดน 3, 4, 6 เพื่อลดการเผชิญหน้ากัน ในส่วนของอดีตพระพุทธะอิสระ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. และแยกอดีตพระเถระชั้นใหญ่ทั้ง 5 รูป กระจายไปคุมขังยังแดนต่างๆ เพื่อความเหมาะสม
สำหรับเช้านี้ผู้ต้องขังได้ปฏิบัติกิจวัตรส่วนตัว ตามปกติ รับประทานอาหารเช้าที่เรือนจำจัดให้ ซึ่งเป็นข้าวต้ม แต่มื้อเย็นทั้ง 6 ราย ไม่ได้รับประทานอาหาร จากนั้นพักผ่อนทำกิจกรรมภายในแดนของตนเอง ซึ่งวันนี้เป็นวันหยุดราชการ เรือนจำไม่ได้เปิดให้เยี่ยมญาติ โดยอดีตพระพุทธะอิสระนั้นพบว่าตอนนี้มีอาการปวดหลังค่อนข้างมาก ต้องนั่งรถเข็น เนื่องจากมีโรคประจำตัวคือเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
ด้านนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การจับกุมตัวอดีตพระพุทธะอิสระของเจ้าหน้าที่ตำรวจรุนแรงกว่าเหตุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้พูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้ว โดยเฉพาะการกำชับตำรวจที่จะต้องดำเนินการในระยะต่อไป ส่วนการปฏิบัติดังกล่าวได้มีการหารือกับรัฐบาลก่อนหรือไม่นั้น ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดี รัฐบาลได้มอบหมายให้ตำรวจเป็นเจ้าของเรื่องในการดำเนินการไปตามข้อมูลและพยานหลักฐานที่มีอยู่
ส่วนกระแสสังคมมีการตั้งคำถามว่า ทำไมนายกฯและรองนายกฯ ต้องออกมาขอโทษอดีตพระพุทธอิสระนั้น นายสุวพันธุ์กล่าวว่า คิดว่าเป็นการเผยแพร่ข้อมูลออกมาเพียงเรื่องเดียว ไม่ได้เผยแพร่เรื่องอื่นๆ และนายกฯ ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในฐานะที่เราเป็นเมืองพุทธ
เมื่อถามว่า เป็นเพราะนายกฯ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย เคารพพระพุทธะอิสระด้วยหรือไม่ รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องดูทั้งบริบท อย่าดูแยกส่วน และเชื่อว่ารัฐบาลอยากทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับพระพุทธศาสนา ในฐานะเป็นคนพุทธ เราพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุด
นายสุวพันธุ์กล่าวถึงการสึกโดยที่เจ้าตัวไม่มีการเปล่งวาจา จะถือว่าขาดจากความเป็นพระหรือไม่นั้นว่า ส่วนตัวตอบไม่ได้ ต้องไปดูกฎของสงฆ์ แต่ในครั้งนี้ พระที่ถูกดำเนินการเหมือนได้ลาสิกขาไปแล้ว แต่ไม่ทราบรายละเอียด เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตรงนั้น
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การกล่าวขอโทษของนายกฯ ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่ขอโทษเพราะเจ้าหน้าที่ทำไม่เหมาะสม ไม่ว่าผู้ต้องหาจะเป็นใครก็ตาม เมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วจะถูกตัดสินโดยศาล รวมทั้งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเขตวัดหรือสังฆวาส ซึ่งอาจทำให้กระทบต่อความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนได้ โดยได้ตักเตือนให้เจ้าหน้าที่ยึดแนวทางปฏิบัตินี้แล้ว ดังนั้นจึงไม่อยากให้นำไปบิดเบือนสร้างเรื่องกันต่อไปโดยเฉพาะกลุ่มการเมืองและสื่อมวลชนบางสำนัก
"นายกฯ ยืนยันว่าไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวใดๆ กับนายสุวิทย์ และไม่เคยคิดนำเรื่องส่วนตัวไปปะปนกับการบริหารบ้านเมือง พร้อมทั้งย้ำว่ารัฐบาลยึดหลักกฎหมายและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย หากกระทำผิดต้องได้รับโทษเช่นเดียวกัน" พล.ท.สรรเสริญระบุ
ร้องผู้ตรวจฯ หยามศาสนา
ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามคลิปวิดีโอที่เผยแพร่การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยคอมมานโดพร้อมอาวุธครบมือ ในการเข้าจับกุมพระพุทธะอิสระ เมื่อเช้ามืดวันที่ 24 พ.ค. ซึ่งถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมและอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน และอาจมีความผิดในลักษณะเหยียดหยามศาสนาตามบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 206 และเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 27, 29 วรรค 2, 31 และมาตรา 67 ซึ่งถือได้ว่าเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาโดยชัดแจ้ง
ทั้งนี้ ในทางกฎหมายบัญญัติไว้ชัดเจนว่า ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุด แสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พระพุทธะอิสระไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนีเลย ยังคงเดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์ ณ กองปราบปราบ ในหลายๆ กรณี และไปขึ้นศาลในคดีความต่างๆ เรื่อยมา เมื่อพิจารณาถึงพฤติกรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจพึงที่จะต้องมีหมายเรียกผู้ต้องหามาสอบปากคำเพียงพอแล้ว มิใช่ใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยใช้กองกำลังคอมมานโดนับร้อยเข้าดำเนินการเข้าจับกุม ทำลายทรัพย์สิน และใช้วาจาในลักษณะเดียวกันกับบุคคลทั่วไปที่เป็นผู้ก่อการร้ายหรือผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรง
ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จำต้องใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 50 (1) เพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งศาสนา จึงจะนำความไปร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อเสนอแนะต่อนายกฯ และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคําสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใดๆ ในการเกี่ยวกับพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา อันก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่พระภิกษุโดยไม่จําเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ รวมทั้งตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีดังกล่าว และเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย
โดยสมาคมฯ จะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ในวันจันทร์ที่ 28 พ.ค.2561 เวลา 10.00 น. และยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนในเวลา 11.00 น. ในวันเดียวกัน ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ
นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า นายกฯ และรองนายกฯ ไม่สงสัยบ้างหรือว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุเฉพาะการจับกุมพระพุทธะอิสระที่รับปฏิบัติตามพระบัญชาของอดีต สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ให้ท่านพยายามขจัดลัทธิธรรมกายให้ได้ และท่านได้ดำเนินการตลอดมา จนประสบความสำเร็จได้ระดับหนึ่งแล้วเท่านั้น แต่ในวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปทำการจับกุมพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่ในคดีโกงเงินทอนวัด ซึ่งบางรูปมีความสนิทสนมกับธัมมมชโยเป็นพิเศษกลับได้รับการปฏิบัติอย่างนอบน้อม สุภาพเรียบร้อย
"ท่าน พล.อ.ประยุทธ์ และท่าน พล.อ.ประวิตรคิดดูเถอะว่าการนำคลิปที่ไม่มีบุคคลใดอาจเข้าไปถ่ายภาพได้จึงไม่อาจนำเผยแพร่ได้ ผู้ที่นำมาเผยแพร่ก็น่าเชื่อว่าคือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นผู้ถ่ายภาพหรือผู้ที่ได้เข้าร่วมจับกุมนั่นแหละ การนำมาเผยแพร่โดยย่อมเล็งเห็นผลได้อยู่แล้วว่าจะถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงแน่นอน และผลที่ตามมาก็คือทำให้ประชาชนไม่พอใจและเสื่อมศรัทธา คสช.และรัฐบาลลงไปเรื่อยๆ การกระทำดังกล่าวคือการวางแผนทำลายการชื่นชม ความเลื่อมใส และความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อ คสช.และรัฐบาลได้อย่างแนบเนียนที่สุดใช่หรือไม่" อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา ระบุ
บี้บิ๊กตู่เด้งแป๊ะ-ตร.ชุดจับ
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ได้ทำหนังสือถึงนายกฯ, คณะรัฐมนตรี และ คสช. ผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยมีเนื้อหาว่า เป็นคนหนึ่งที่ให้กำลังใจและประกาศยืนหยัดสนับสนุนท่านและคณะในการเดินหน้าแก้ปัญหาของชาติมาโดยตลอด ขอขอบคุณที่ทั้งนายกฯ และ พล.อ.ประวิตร ตักเตือนตำรวจมิให้เกิดการปฏิบัติการถ่อยเช่นนี้อีก แต่ไม่เพียงพอเพราะความเสียหายต่อศรัทธาในรัฐบาลและ คสช.ทวีความรุนแรงขึ้น และจะเป็นสาเหตุให้ขบวนการสามานย์ปลุกระดมให้เกิดความไม่สงบสุขในที่สุด กรณีที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นเพียงน้ำผึ้งหยดเดียวที่ทำลายความสงบสุขของชาติ
“ผมขอความกรุณาจากท่านและคณะ จงอย่าประมาทมองข้ามเรื่องนี้ไป ผมขอเสนอให้ท่านใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งย้าย ผบ.ตร., ผู้บังคับบัญชาและฝ่ายอำนวยการที่เกี่ยวข้องกับชุดปฏิบัติการบุกจับหลวงปู่พุทธะอิสระ อย่าได้กังวลใจว่าข้อเสนอของผมนี้จะทำลายขวัญกำลังใจของตำรวจ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันล้มเหลว มันทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชนกับตำรวจ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อภารกิจพิทักษ์สันติราษฎร์ ทำลายภาพลักษณ์ขององค์กรตำรวจอย่างต่ำช้า ทำให้ตำรวจดีๆ ต้องพลอยรับกรรมชั่วๆ จากตำรวจเลวๆ อีกทั้งข้อเสนอของผมนี้จะเป็นโอกาสให้ท่านได้ส่งเสริมนายตำรวจดีๆ ตามแนวทางพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในการส่งเสริมคนดีให้ขึ้นมาทำหน้าที่ปกครองปรับปรุงแก้ไขเพื่อเรียกความศรัทธาเชื่อมั่นคืนจากประชาชน จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา”
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กในหัวข้อ “การให้พระภิกษุสละสมณเพศกับยุทธวิธีของตำรวจ” ว่า เวลาพระภิกษุต้องคดี หากพระภิกษุไม่ได้ประกันตัว ต้องให้พระภิกษุสละสมณเพศหรือสึกเสียก่อน กล่าวคือ จะนำพระภิกษุไปขังในขณะครองผ้ากาสาวพัสตร์ไม่ได้ เพราะผ้ากาสาวพัสตร์ถือว่าเป็นของสูง ปัญหาว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องจับสึก ต้องตอบว่าอยู่ที่ดุลยพินิจของตำรวจ หากตำรวจต้องการให้สึก ตำรวจก็ไม่ให้ประกันตัว แต่หากไม่ต้องการให้สึก ตำรวจต้องขอให้เจ้าอาวาสที่พระภิกษุนั้นสังกัดอยู่รับตัวพระภิกษุนั้นไปควบคุมไว้ พระภิกษุนั้นก็ไม่ต้องสละสมณเพศ หรือไม่ต้องสึก (พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 29)
กรณีที่เกิดขึ้นกับพระภิกษุที่เป็นข่าวใหญ่โตขณะนี้ จึงสรุปได้ว่าเป็นดุลยพินิจของตำรวจที่จะจับสึก ก็ไม่ว่าอะไร ตำรวจไทยมีดุลยพินิจที่ถูกต้องสวยงามเป็นที่ยอมรับของประชาชนเสมอ เพียงแต่พระภิกษุบางรูปบวชมาตั้งแต่อายุ 20 ปี ตั้งใจจะมรณภาพภายใต้ร่มเงาผ้ากาสาวพัสตร์ และตอนนี้ท่านอายุมากแล้ว กว่าจะต่อสู้คดีเสร็จใช้เวลานับ 10 ปี ถึงตอนนั้นหากศาลตัดสินให้ท่านชนะคดี เวลาที่จะครองผ้ากาสาวพัสตร์ใหม่น่าจะสายไปแล้ว
“เรื่องที่ละเอียดอ่อนและกระทบต่อความรู้สึกของประชาชน ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของตำรวจควรจะลงมาดูการใช้ดุลยพินิจของผู้ใต้บังคับบัญชา ผบ.ตร.บอกว่าการจับกระทำถูกต้องตามยุทธวิธีแล้ว แต่ต่อมานายกฯ และรองนายกฯ ออกมาขอโทษประชาชนในการกระทำที่รุนแรงเกินไป ตกลงจะเอาไง ผมว่าตำรวจต้องตอบชาวพุทธ 3 เรื่อง 1.ยังยืนยันยุทธวิธีของท่านว่าถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ 2.ทำไมต้อง ”จับสึก” ทำไมไม่ให้ประกันกันตัวตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 29 และ 3.ขอถาม (เบาๆ) ว่า ถ้าเป็นนักบวชตามศาสนาอื่น ท่านจะใช้ยุทธวิธีแบบนี้ด้วยหรือไม่ หรือท่านกล้าใช้ ”ยุทธวิธี” แบบนี้เฉพาะกับพระในพระพุทธศาสนา” นายนิพิฏฐ์ระบุ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |