'เอสซีจี'ปลื้มกำไรฟื้น 114%


เพิ่มเพื่อน    

30 เมษายน 2564 นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี (SCG) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวดว่าสามารถทำได้ 14,914 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 114% จากรายได้จากการขายที่ 122,066 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15% เนื่องจากธุรกิจเคมิคอลส์มีส่วนต่างราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2563 มีกำไรเพิ่มขึ้น 85% มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 26% จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ โดยธุรกิจเคมิคอลส์มีปริมาณขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงของโรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ (MOC) ในไตรมาสก่อน การเริ่มผลิตของโรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ เฟส 2 (MOC Debottleneck) และอุปสงค์ทั่วโลกปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น

“ผลประกอบการไตรมาส 1/2564 ดีกว่าที่คิดไว้ เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ยอมรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกนี้ค่อนข้างรุนแรง และมีความไม่แน่นอนสูงโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะหลายประเทศกลับมาเกิดการระบาดอีกครั้ง เป็นปัจจัยที่ต้องติดตามในระยะต่อไป” นายรุ่งโรจน์ กล่าว

ขณะที่ธุรกิจเคมิคอลส์ไตรมาส 1/2564 มีกำไรสำหรับงวด 8,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 397% มีรายได้จากการขาย 51,607 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 35% ซึ่งเอสซีจีอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้การปรับโครงสร้างธุรกิจเคมิคอลส์ รวมถึงการเสนอขายหุ้นบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด ให้ประชาชนทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้น 100% รองรับการขยายธุรกิจเคมิคอลส์ในอนาคต เช่น ความเป็นไปได้ในการขยายกำลังการผลิตในภูมิภาคอาเซียน และการลงทุนอื่นๆ คาดว่าการศึกษาและการปรับโครงสร้างดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2565

ขณะเดียวกันเอสซีจียังได้ลงนามในสัญญาซื้อหุ้นบริษัท ซีพลาสต์ (Sirplaste) ผู้ประกอบธุรกิจและผู้นำด้านพลาสติกรีไซเคิลในประเทศโปรตุเกส สามารถนำไปพัฒนาและต่อยอดเทคโนโลยีรีไซเคิลในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งขยายช่องทางการขายในตลาดยุโรปได้  ส่วนความคืบหน้าโครงการขยายกำลังการผลิตของโรงงาน MOC Debottleneck ก่อสร้างแล้วเสร็จเร็วกว่าแผนและเริ่มทดลองดำเนินการผลิตแล้ว คาดว่าจะผลิตได้เต็มกำลังภายในเดือนพ.ค.นี้ จะทำให้มีกำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้น 350,000 ตันต่อปี ส่วนโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนามคืบหน้าตามแผน 76% คาดจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในครึ่งแรกของปี 2566

โดยธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีกำไร 2,809 ล้านบาท รายได้จากการขาย 46,185 ล้านบาท โดย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเอสซีจีได้ขยายตลาดหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งลูกค้ากลุ่มเจ้าของบ้าน และกลุ่มผู้ประกอบการที่ใช้ไฟในตอนกลางวันต่อเนื่อง ตั้งเป้ายอดขายรวม 600 ล้านบาท ในปี 2564 และล่าสุดได้เปิดตัว EV Solution Platform ให้บริการด้านยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาดครบวงจร และธุรกิจเอสซีจี เดคคอร์ วัสดุตกแต่งทางเลือกใหม่ ตั้งเป้าขยายสาขาเอสซีจี โฮม เพิ่มอีก 33 สาขา รวมเป็น 50 สาขา ภายในปีนี้

และธุรกิจแพคเกจจิ้ง มีกำไรสำหรับงวด 2,135 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 23% มีรายได้จากการขาย 27,253 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12% เนื่องจากความต้องการซื้อสินค้าของผู้บริโภคในอาเซียน ราคากระดาษบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเอสซีจีได้เปิดดำเนินการโรงงานผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์กำลังผลิตส่วนเพิ่ม 400,000 ตันต่อปี ของ Fajar ในประเทศอินโดนีเซีย ขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์อีกกว่า 347 ล้านชิ้นต่อปี รวมถึงขยายการเข้าลงทุนใน Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ประเทศเวียดนาม และการลงทุนใน Go-Pak UK Limited เพื่อขยายฐานตลาดบรรจุภัณฑ์อาหารในภูมิภาคต่าง


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"