เด็กๆ วิ่งเล่นบนก้อนหินอย่างคล่องแคล่วชำนาญเพราะพ่อพาเดินป่าเป็นประจำ
อากาศยามเช้าในวันอาทิตย์ที่หมู่บ้านฮิสโคฟ (Hyskov) เมืองเบรูน (Beroun) ซึ่งทอดตัวเลียบไปตามเชิงเขายังหนาวเย็นอยู่มาก แม้ว่าจะเป็นช่วงปลายเดือนพฤษภาคมเข้าไปแล้ว ผมตื่นก่อนใครเพื่อน เดินออกนอกบ้านไปยังจุดที่แสงอาทิตย์ฝ่าต้นไม้บนเขาตกลงมาบนถนน ระหว่างรับแดดให้กายอุ่นอยู่นั้น “อีวา” เพื่อนบ้านของโกรันก็เดินจูงหมาตัวโตมาจากฝั่งตัวเมืองเบรูน อีกมือถือถุงผ้าใบใหญ่ เธอบอกว่าวันนี้มีตลาดนัด คนเวียดนามมาเปิดแผงขายวัตถุดิบอาหารเอเชียมากมายหลายอย่าง เธอจึงซื้อมาตุนไว้ แถมยังได้เดินออกกำลังกายด้วย
รับแดดอยู่ได้สักพักผมก็กลับเข้าไปในบ้าน นั่งลงบนโซฟาหน้าทีวีในห้องนั่งเล่น นานอีกหลายนาทีหลังจากนั้นกว่าคนในบ้านจะตื่น โดยเด็กๆ ทยอยตื่นก่อน “สเตลลา” วัย 4 ขวบเดินถือดาบมาแล้วเงื้อจะฟันอาคันตุกะที่ไร้อาวุธ เธอจึงเห็นใจกลับไปหยิบเอาพลาสติกสั้นๆ มาให้ผมเพื่อให้ดูสมน้ำสมเนื้อ ฟันกันไปมาแล้วผมก็แกล้งถูกฟันที่ลำตัว ลงไปนอนกลิ้งบนพื้น ร้องเจ็บทุรนทุราย สเตลลาหัวเราะชอบใจอย่างมาก“ลูกา” วัย 5 ขวบ ได้ยินเสียงการต่อสู้ก็รีบวิ่งลงบันไดมาจากชั้น 2 เข้าร่วมวงด้วย “อาซาร์” วัย 10 ขวบที่ห้องนอนอยู่ชั้นล่างเปิดประตูออกมาแล้วนั่งลงข้างๆ ผม ซึ่งเป็นคนที่ผมรอให้ตื่นมากกว่าใคร
“กดกาแฟให้ถ้วยสิ” ผมขอ
อาซาร์ ยิ้มยินดีแล้วกระเด้งลุกจากโซฟาไปกดกาแฟแบบแคปซูลมาให้ผม
ลูกาและสเตลลา พี่น้องและเพื่อนเล่นที่ไม่เคยห่างกัน
เรากินอาหารเช้ากันตอนสายมากเพราะผู้ใหญ่ของบ้านคือ “โกรัน” และ “คริสตินา” ตื่นเอาเมื่อตะวันโด่งพอสมควรแล้ว “ฟันดา” เพื่อนของอาซาร์ปั่นจักรยานหลายกิโลเมตรมาเล่นที่บ้านนี้ตั้งแต่เช้า เขาจึงร่วมวงอาหารเช้าด้วย มื้อเช้าวันนี้ก็เหมือนครัวของชาวตะวันตกทั่วไปที่มีไข่ดาวและขนมปัง คริสตินาบอกว่าอีกแป๊บเดียวก็จะมื้อเที่ยงแล้ว เธอจะทำอาหารอิตาเลียน
บ้านนี้โดยทั่วไปพูดภาษาเช็ก แต่หากโกรันพูดกับลูกเขาจะใช้ภาษาเซอร์เบียน และให้ลูกใช้ภาษาเซอร์เบียนกับเขา ซึ่งเด็กๆ ก็พูดได้คล่องเพราะฝึกมาตั้งแต่เล็กๆ เมื่อมีแขกอย่างผมอยู่ในบ้านด้วยจึงมีเพิ่มขึ้นเป็น 3 ภาษา และบางครั้งก็มีภาษาที่ 4 อย่างตอนที่อาซาร์ขอให้ผมพูดภาษาไทยให้ฟัง
เสร็จจากมือเช้า โกรันชวนผม, ลูกๆ, ฟันดา และ “ไลกา” หมาอารมณ์ดี ขึ้นเขาเดินป่าข้างบ้านเพื่อฆ่าเวลารออาหารเที่ยง ผมเคยเดินกับพวกเขาเมื่อครั้งมาเยี่ยมเมื่อ 2 ปีก่อน ไม่นานก็ถึงจุดชมวิวเห็นเมืองเล็กๆ และแม่น้ำเบรูนกา (Berounka) อยู่เบื้องล่าง โกรันปล่อยให้ลูกๆ เดินอย่างอิสระ ผมเองแอบหวั่นว่าถ้าสเตลลาสะดุดหกล้มจะต้องเจ็บตัวแน่เพราะมีหินก้อนใหญ่ขรุขระและออกแหลมๆ อยู่หลายจุด แต่ไม่มีใครพลาดพลั้งเลย คงเพราะพวกเขาเดินป่าแห่งนี้จนชินกับธรรมชาติทุกตารางเมตรแล้วก็ว่าได้
คริสตินาโทรศัพท์หาโกรันบอกว่าอาหารเที่ยงใกล้จะพร้อมแล้วให้เรากลับกันได้เลย เธอจัดโต๊ะที่ศาลาอเนกประสงค์นอกบ้าน มีพาสต้าเส้นเปนเนคลุกซอสครีมและผักต่างๆ จานใหญ่ให้ตักกันเอาเองตามสะดวก ฟันดาขอเติมถึง 2 ครั้ง โกรันนึกขึ้นได้ว่าแพะย่างจากเซอร์เบียยังแช่อยู่ในตู้เย็นจึงไปแกะใส่จานแล้วนำมาวางบนโต๊ะโดยไม่ได้อุ่นให้ร้อนก่อน มันขาวๆ เกาะเหนียวๆ อยู่ตามชิ้นเนื้อ ผมถามว่า“กินเย็นๆ อย่างนี้หรือ” เขาว่า“ที่เซอร์เบียกินกันอย่างนี้แหละ”
สามพี่น้องลูกครึ่ง เช็ก – เซอร์เบีย
นอกจากเจ้าตัวแล้ว ผมเองก็กินไปแค่ชิ้นเดียว ที่เหลือไม่มีใครแตะแพะย่างเย็นเหนียวของโกรันเลย แม้แต่ฟันดายังปฏิเสธ
หลังมื้อเที่ยง เรานั่งดื่มไวน์กันต่อ คริสตินาดื่มไวน์ขาว ผมและโกรันดื่มไวน์แดง อีวามานั่งคุยด้วยแต่เธอไม่ดื่ม ระหว่างนี้เด็กๆ ก็วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน มี “เวโรนิกา” และ “สตีเฟน” ลูกของอีวาเข้าแจมด้วย
บ่ายแก่ๆ ผมกลับเข้าบ้านไปเก็บกระเป๋าเพื่อจะเดินทางเข้ากรุงปราก อาซาร์มาขอให้ผมสอนกลหรือเกมอะไรก็ได้เพื่อจะเอาไปโชว์เพื่อนที่โรงเรียน ผมนึกอยู่นานว่าตัวเองเล่นกลอะไรเป็นบ้าง แล้วก็เอากลสมัยเด็กๆ มาแสดงให้ดู
เอาเหรียญใส่ที่ท้ายทอย ใส่หัวแม่มือเข้าไปในปาก แล้วดึงเหรียญให้ลอยออกมาลงสู่พื้น อาซาร์ถึงกับตะลึง ขอให้ทำแล้วทำอีก แถมยังห้ามผมเฉลย แต่เขาก็จับทริคไม่ได้ สุดท้ายก็ยอมให้เฉลย เขาซ้อมอยู่หลายรอบก็เอาออกไปโชว์ให้ผู้ชมในศาลาอเนกประสงค์ดู
เวลาสนุกของอาซาร์หมดลงเมื่อตาและยาย ซึ่งเป็นพ่อและแม่คริสตินามารับ ในทุกวันอาทิตย์ตอนเย็นตาและยายจะขับรถมารับเขาไปนอนที่บ้านในกรุงปรากที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร และไปส่งที่โรงเรียนในเช้าวันจันทร์ ส่วนตอนเย็นโกรันจะเป็นผู้ไปรับกลับบ้านที่ฮิสโคฟ และรับ-ส่งด้วยตัวเองในวันที่เหลือ ขณะที่ลูกาและสเตลลาเรียนชั้นอนุบาลในตัวเมืองเบรูน ซึ่งเป็นหน้าที่ดูแลของคริสตินา
วิมานของฟันดา อายุเขาเพียง 10 ขวบ แต่ตัวโตมาก
ผมกอดลาอาซาร์ เขาพูดว่า “ยู คูล”ที่แปลว่าเจ๋ง ผมจึงบอกเขาว่า “นายก็เจ๋งเหมือนกัน”
หลังอาซาร์ลับไปแล้ว โกรันก็ขับรถไปยังตัวเมืองเบรูน พาผมเดินทัวร์ในเมืองเล็กๆ ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ขับไปส่งที่สถานีรถไฟในเวลาประมาณ 1 ทุ่ม เพื่อขึ้นรถไฟเที่ยว 19.34 น. ก่อนนี้เขาพยายามจะให้ผมเข้ากรุงปรากพร้อมกับอาซาร์ แต่ผมดันไปจองที่พักไว้ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟกรุงปรากเพื่อสะดวกแก่การเดินหา จึงเกรงใจหากจะให้พ่อตาแม่ยายเพื่อนไปส่งเพราะไม่ใช่ทางผ่าน เราไม่ได้ล่ำลากันอย่างอาวรณ์อะไรนัก เพราะอีกสองสามวันก็จะเจอกันอีก
รถไฟเที่ยวนี้มีต้นทางในประเทศเยอรมนีมาสายไปราว 20 นาที และวิ่งค่อนข้างช้า ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าจะถึงสถานีกรุงปราก ผมเปิดแผนที่กูเกิลจากโทรศัพท์มือถือแล้วเดินไปยังที่พักที่จองไว้ชื่อ Welcome Apartments and Hostel Prague
เมื่อไปถึงก็พบว่าผมได้กดจองห้องนอนรวมของผู้หญิงไว้ เมื่อถามรีเซ็พชั่นเกย์หนุ่มว่าห้องผู้ชายและห้องที่ไม่แยกเพศมีว่างบ้างหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่า “เต็มหมดแล้ว” ผมขอนั่งพักและใช้ล็อบบี้ของโฮสเทลนี้กดหาที่พักแห่งใหม่ รีเซ็พชั่นใจดีบอกว่า “ใช้ Wi-fi ของโฮสเทลก็ได้นะ”ผมขอบคุณ แต่ไม่ได้ใช้ เพราะ 4G จากโรมาเนียของผมก็ฉับไวไม่แพ้กัน ได้ที่พักชื่อ Hostel Ananas บนถนนเวนสลาว์สแควร์
นายแบบแห่งราวป่า ลูกา วัย 5 ขวบ
ผมต้องเดินอีกประมาณ 2 กิโลเมตร เพิ่มจากที่เดินมาก่อนนี้ประมาณ 1 กิโลเมตร คราวนี้ไม่ต้องเปิดแผนที่กูเกิลเพราะถนนเวนสลาว์สแควร์นั้นผมรู้จักดี เพียงแต่เมื่อไปถึงถนนเส้นใหญ่เส้นนี้ก็ต้องเปิดแผนที่หาตำแหน่ง และเมื่อกูเกิลบอกว่าถึงที่หมายแล้วผมกลับไม่พบ เดินไปมาอย่างมึนงงอยู่นานกว่าจะจับจุดได้ ซึ่งต้องเดินเข้าตัวอาคารใหญ่ที่มีทางเล็กๆ เข้าไปเลี้ยวซ้ายสองครั้งถึงเจอ
พนักงานต้อนรับคนหนึ่งเป็นสาวสวยระดับดารานักแสดง แต่เมื่อเธอยิ้มกลับเห็นฟันบนซี่กลางมีสีเพี้ยนไปจากซี่อื่นๆ เหมือนอย่างโดนแกล้ง ซึ่งคงเป็นปัญหาที่แก้ยาก ไม่อย่างนั้นเธอคงแก้ไปนานแล้วเพราะมันจะทำให้ใบหน้าของเธอสวยสุดยอดในระดับหัวแถวของกรุงปรากได้เลย แต่จะว่าไปต่อให้เธอเป็นเหมือนที่เห็นอยู่ขณะนี้ก็คงมีหนุ่มๆ ในกรุงปรากหลายคนสนใจสมัครเป็นคู่ควงอยู่ดี
ในห้องพักรวมของผม มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนอนอยู่ เขางัวเงียตื่นขึ้นมาทักทายและเริ่มบทสนทนา เล่าว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยในตุรกีแต่ไปฝึกงานในกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี มีวันหยุดประมาณ 1สัปดาห์เขาจึงไปเที่ยวเมืองกรากุฟ (Krokow) ประเทศโปแลนด์ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากกรุงปรากมากนัก เมืองกรากุฟถือว่าเป็นเมืองของนักท่องเที่ยวหนุ่มสาว มีอาคารบ้านเรือนสวยงาม ร้านอาหาร ผับ บาร์ และโรงแรมที่พักตั้งอยู่หนาแน่น และทุกอย่างราคาไม่แพง
คณะผู้เดินป่าเพื่อฆ่าเวลารออาหารเที่ยง
หนุ่มเติร์กคนนี้ดื่มกินเสียเต็มคราบตลอดทั้งสัปดาห์ รู้ตัวอีกทีก็เหลือเงินไม่พอกลับบูดาเปสต์ มีพอแค่นั่งรถมากรุงปราก ส่วนที่พักคืนนี้เขาไม่ต้องจ่ายเงินเพราะใช้บริการของเครือข่ายโฮสเทลแห่งนี้มาหลายคืนจนได้รับโบนัสนอนฟรี
ผมชวนเขาออกไปกินมื้อค่ำและดื่มเบียร์ เขาปฏิเสธเพราะไม่มีเงิน ผมบอกว่า “เลี้ยงทั้งอาหารและเครื่องดื่มเลย ไม่ต้องห่วงและไม่ต้องคิดมาก” ดูเหมือนเขาลังเลในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ไม่รับคำชวน ได้แต่กล่าวขอบคุณ
เวลาเกือบ 5 ทุ่มแล้วตอนที่ผมเดินออกไปจากที่พัก ร้านอาหารทยอยปิดกันไปเกือบหมด มีเพียงร้านฟาสต์ฟู้ดและผับบาร์ที่พอให้ฝากท้องได้ แน่นอนว่าผมเลือกอย่างหลัง
ชาโปรูจ (Chapeau Rouge) ใกล้ๆ กับจัตุรัสเมืองเก่า (Old Town Square) คือร้านที่ผมนึกขึ้นได้ ห่างจากที่พักไม่ถึง 1 กิโลเมตร ผมจำที่ตั้งได้แม่นจึงเดินไปโดยไม่ต้องพึ่งแผนที่กูเกิล
เบียร์สดในร้านมีเพียงยี่ห้อ Krusovice แม้จะดูเป็นการบังคับกันเกินไปแต่ผมก็สั่งมาอยู่ดี ราคาไพนต์ละ 40 โครูนา หรือประมาณ 60 บาทเท่านั้น ร้านนี้ไม่มีอาหารขาย มีเพียงกับแกล้มพวกมันฝรั่งแผ่นทอดที่เทออกจากถุงใส่จาน ผมจึงกินเบียร์กับมันฝรั่งแผ่นเป็นมื้อค่ำ ชั้นใต้ดินของร้านมีผับเพลงแดนซ์ ไม่แน่ใจว่าเป็นเจ้าของเดียวกันหรือไม่ แต่ไม่ได้ใช้ชื่อเดียวกัน วัยรุ่นคนหนุ่มสาวตอนต้นมักจะไม่แวะชาโปรูจแต่จะเดินผ่านประตูแล้วลงชั้นใต้ดินไปเลย
ผมออกจากร้านชาโปรูจราวตีหนึ่ง ก็ลองเข้าไปนั่งร้านใกล้ๆ กันชื่อเดจาวู (Deja Vu) เป็นร้านที่มีขนาดเล็ก เบียร์สดก็มีเพียงยี่ห้อ Krusovice อีกเช่นกัน
อาคารรูปร่างน่ารักในจัตุรัส Husovoใจกลางเมือง Beroun
เบียร์ตัวนี้เป็นเบียร์เก่าแก่ของเช็ก เริ่มผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1581 เคยได้รับสัญญาธุรกิจจากจักรพรรดิรูดอล์ฟ ที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นผู้ผลิตและส่งถวายจนได้รับอนุญาตให้ใช้ตรามงกุฎแห่งออสเตรียเป็นส่วนหนึ่งของโลโก้มาจนถึงปัจจุบัน
ราคาของเบียร์สด Krusovice ร้านเดจาวูแพงกว่าร้านชาโปรูจ 10 โครูนา ร้านนี้มีขนาดไม่ใหญ่และไม่มีประตู คนไม่เยอะเหมือนกับชาโปรูจ แต่ก็มีผับอยู่ชั้นใต้ดินเช่นกัน ผมขอเดินลงไปด้านล่างพบว่าไม่อนุญาตให้สะพายเป้เข้าไป จำเป็นต้องฝากกับเจ้าหน้าที่และต้องจ่ายค่าฝาก 100 โครูนาแต่เมื่อได้ยินเพลงแนว EDM ที่ไม่นิยมแว่วมาจากประตูของผับดังกล่าวพอดีผมก็ถอยหลังกลับขึ้นมา
ดื่มแค่ไพนต์เดียวก็เรียกเก็บเงิน แวะร้านขายของชำของชาวเวียดนาม เข้าไปหยิบเบียร์ Budweiser และ Gambrinus มาอย่างละกระป๋อง ตอนคิดเงินผมถึงกับสะดุ้งเพราะราคาที่พ่อค้าเวียดพลัดถิ่นบอกให้จ่ายนั้นสูงถึงกระป๋องละ 70 โครูนา หรือประมาณ 110 บาท แต่ไหนๆ ก็หยิบมาแล้วจึงจ่ายไปโดยดี
สะพานข้ามแม่น้ำ Berounkaที่ไหลผ่านเมือง Beroun
วันหลังผมเข้าร้านชำของชาวเวียดนามอีกร้านหนึ่ง เบียร์ราคากระป๋องละประมาณ 50โครูนา ซึ่งในร้านสะดวกซื้อทั่วไปราคากระป๋องละประมาณ 20 โครูนาเท่านั้น หากซื้อในซูเปอร์มาร์เก็ตก็เหลือแค่ประมาณ 15 โครูนา จึงต้องประกาศลาขาดจากร้านชำชาวเวียดนามนับแต่นั้น สาเหตุที่พวกเขากล้าขายแพงคงเพราะถือว่าตัวเองเปิดดึกกว่าร้านทั่วไป และการเปิดดึกนี้อาจมีค่าใบอนุญาตที่สูงกว่า แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะมาจากความหน้าเลือดล้วนๆ ก็เป็นได้
กลับถึงโฮสเทล ผมเดินไปนั่งที่ห้องครัวส่วนกลาง ดื่ม Budweiser เบียร์เช็กที่บริษัทอเมริกันเอาชื่อไปใช้จนมีปัญหากันทางกฎหมายอยู่นานหลายปี
เก็บ Gambrinus ไว้ให้หนุ่มเติร์กตกอับ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |