ศึกภายในพรรคร่วมรัฐบาลปริร้าวหนัก! ปชป.กลืนเลือด ฮึดไม่สำเร็จ “บิ๊กตู่” หักกลางทำเนียบฯ ไม่แก้คำสั่งส่ง "ธรรมนัส" คุมภาคใต้ ลั่นไม่ใช่เวลามาเล่นการเมือง เดือดจัดเหวี่ยงใส่กลางวง ครม. เตือนรู้มี รมต.บางคนนินทานายกฯ ในที่ประชุมบางวง ขู่ทำอีกปรับออก ริบโควตาคืน “แรมโบ้” ไล่ตบปาก "เด็กอนุทิน" เล่นการเมืองเอาแต่ได้
หลังมีปฏิกิริยาทางการเมืองภายในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง จากกรณีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งที่ 85/2564 เรื่อง มอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด โดยประเด็นที่มีปัญหาคือกรณีมอบหมายให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ แกนนำพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเดิมดูแลพื้นที่จังหวัดพะเยา เชียงราย และหนองบัวลำภู ให้มาดูแลพื้นที่ภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดสงขลา นครศรีธรรมราช และภูเก็ต จนทำให้พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ไม่พอใจอย่างมาก เพราะเป็นพื้นที่ดูแลของรัฐมนตรีของประชาธิปัตย์นั้น
โดยเมื่อวันที่ 27 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการทำความเข้าใจกับทางพรรคประชาธิปัตย์ในประเด็นคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวว่า ยืนยันว่าจนถึงวันนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งใดๆ ทั้งสิ้น ยังคงเป็นคำสั่งเดิม ทั้งนี้ได้ให้แนวทางไปว่า ให้ลองดูว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งให้แนวคิดไปแล้ว
“วันนี้ยังไม่ได้ตกลงอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปให้เป็นข่าวจนเสียหาย วันนี้ไม่ใช่เวลาการเมือง เป็นเวลาของการทำงาน แล้วก็ไม่ได้มุ่งหมายว่าจะให้พรรคใครได้ประโยชน์ ทุกพรรคที่อยู่ร่วมกับผม พรรคร่วมก็อยู่กับผม ผมก็รับผิดชอบให้ท่านอยู่แล้ว ทำให้มันถูกต้องขึ้นมา ผมก็ยินดี แม้กระทั่งในบางพื้นที่ที่เป็นของ ส.ส.ฝ่ายค้าน ผมก็ดูแลในทุกจังหวัด” นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การทำงานวันนี้มีการสั่งการจาก ครม.ลงไป เป็นโครงการที่เป็นนโยบายเกี่ยวกับเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในทุกกรณีลงไป การจัดทำแผนงานโครงการและการอนุมัติงบประมาณซึ่งเป็นการทำงานของรัฐบาล อีกส่วนหนึ่งคือผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นผู้พิจารณาแผนงานโครงการต่างๆ ในพื้นที่ ดังนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงใดก็ตามที่แต่งตั้งไปดูแลพื้นที่จังหวัด ก็ให้ไปติดตามแผนการโครงการที่อนุมัติไปแล้วว่าดำเนินการดีหรือไม่ดี ได้ผลหรือไม่ได้ผล แต่ถ้าหากว่ายังเห็นว่ามีอะไรขาดเหลือต่างๆ รัฐมนตรีก็นำมาเสนอในที่ประชุม ครม. เพื่อจัดสรรโครงการลงไปใหม่เพิ่มเติม เราทำงานแบบนี้ ไม่ใช่ต่างคนต่างไปรุมผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งคงไม่ใช่ และจากการสอบถามแล้วก็ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ก็มีหลายคนปล่อยข่าวออกมาแบบนี้ ก็ขอให้ทุกคน ทุกกระทรวง เคลียร์ด้วย
“ขอให้เข้าใจตรงกันว่ารัฐบาลจำเป็นต้องบริหารทั้งสองทาง และไม่ได้ปิดกั้นรัฐมนตรีคนใดทั้งสิ้น ไม่ได้ทำตามคะแนนเสียงของการเมือง แต่เอาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลักในทุกพื้นที่ และทุกคนก็คือ ครม. คือรัฐบาลด้วยกัน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีการหยิบยกกรณีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนายกฯ ดังกล่าว โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวถึงคำสั่งดังกล่าวว่ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หากมีอะไรให้ส่งไปที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำลังดูอยู่ ให้ไปดูงานเดิมที่ทำ และอย่าไปสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด หรือสร้างปัญหาให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด และช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่มาเล่นการเมือง
นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวอีกว่า ระหว่างการประชุม ครม.ดังกล่าว มีอยู่ช่วงหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ว่า “มีรัฐมนตรีบางคนพูดจาไม่ดีและนินทาผมในที่ประชุมบางวง ให้ระวังตัวไว้ด้วย ผมเป็นคนตัดสินใจเลือกเข้ามาทำงาน จะชอบหรือไม่ชอบผม อย่านินทาให้ผมได้ยิน ถ้าผมได้ยินอีก ผมจำเป็นต้องปรับออก จะริบโควตานั้นมาเป็นของผมเอง ระวังตัวไว้ด้วยละกัน ผมไม่เคยทำให้ท่านเสียหาย ผมมีทีมงานคอยดูเฟซบุ๊กทุกท่าน ผมไม่วางใจและไม่สบายใจ ใครก็ตามที่สร้างความขัดแย้ง เกลียดชัง ทุจริต ถ้ามีปัญหาผมจะพิจารณาเอาออก ผมจะไม่ให้โควตาพรรค จะดึงมาเป็นโควตาผม” ทำให้รัฐมนตรีที่ร่วมประชุมเมื่อได้ฟังแล้วต่างนิ่งเงียบ เพราะเป็นท่าทีที่รุนแรง และไม่มีใครแสดงความเห็นเลย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เรื่องที่ทำให้นายกฯ ไม่พอใจอาจมาจากกรณีที่นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า “การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและการตั้ง ศบค. ซึ่งการใช้อำนาจพิเศษเป็นสิ่งที่นายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถนัดที่สุด จึงไม่แปลกที่มีการเลือกใช้อำนาจพิเศษในการจัดการกับ “โรคระบาด” ซึ่งโครงสร้างของ ศบค.ได้ตัดการมีส่วนร่วมของภาคการเมืองออก รวมถึงได้ตัดคณะรัฐมนตรีออกจากการทำงานใน ศบค. โดยหน่วยงานที่นั่งหัวโต๊ะกำหนดทิศทางของ ศบค.กลับเป็นหน่วยงานความมั่นคง นำโดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ แทนที่จะเป็นสาธารณสุข เราจึงเห็นการมองโรคระบาดเป็นภัยความมั่นคง เป็นอริราชศัตรู ต่างจากการแก้ปัญหาโรคระบาดในรอบที่ผ่านๆ มา ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่ประสบความสำเร็จ”
ขณะที่ท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาล นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จากพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวก่อนการประชุม ครม.ถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่พอใจคำสั่งนายกฯ ว่า สิ่งสำคัญคือเรื่องงานที่ทำเพื่อประชาชน เชื่อว่าทุกคนที่กังวลนั้นเป็นเพราะเมื่อได้รับมอบหมายงานและเริ่มทำไปแล้ว ถ้าเปลี่ยนแปลงก็กังวลเรื่องความต่อเนื่องของงาน เชื่อว่าทุกคนยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นหลักก็จะไม่มีปัญหา เพราะนักการเมืองทำงาน อยู่ที่ไหนก็สามารถทำงานได้
นายจุติระบุว่า เวลานี้เป็นเวลาวิกฤติ คนที่ทำงานอยู่ต้องเปลี่ยนที่และติดตามงานใหม่ คงต้องเสียเวลา คนที่เสียประโยชน์คือประชาชน ไม่อยากมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง เมื่อปรับคณะรัฐมนตรีและปรับคนดูแลพื้นที่ใหม่ก็อย่าดูให้ลึกกว่านั้น วันนี้บ้านเมืองต้องการความรัก ความสามัคคี และเดินไปในทิศทางเดียวกัน อย่าเสียเวลามองเรื่องหยุมหยิมแล้วทะเลาะกัน เดินหน้าแก้ไขปัญหาประชาชนสำคัญที่สุด
เมื่อถามว่า หากการประชุมคณะรัฐมนตรีไม่มีการปรับเปลี่ยนจะมีปัญหากับการทำงานหรือไม่ นายจุติกล่าวว่า เชื่อว่าคงไม่ใช่เงื่อนไขอะไรมาก ประเด็นอยู่ที่ว่า อะไรตรงไหนที่ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด เราจะเร่งทำเรื่องนั้น และอยากให้ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่วิกฤติที่ต้องแก้และเดินหน้าให้ได้
ด้านปัญหาระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคภูมิใจไทยก็มีให้เห็นเช่นกัน โดยนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี จากพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ตอบโต้นายศุภชัย ที่ระบุว่านายกฯ รวบอำนาจการแก้ปัญหาโควิดไปไว้ที่ ศบค. ทำให้รัฐมนตรีไม่มีส่วนในการแก้ปัญหา อีกทั้งมองเรื่องโควิดเป็นงานด้านความมั่นคงเลยไม่ประสบความสำเร็จ ว่า ไม่นึกว่าพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย จะมีชุดความคิดในการทำงานที่คับแคบและเอาแต่ได้แบบนี้ ซึ่งเข้าใจและเห็นใจที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่กำลังมีข่าวบรรดาหมอๆ ออกมาขับไล่ เลยทำให้คนในพรรคภูมิใจไทยอาจเกิดความเครียด แต่ไม่ควรมาลงที่นายกฯ
"การอ้างว่านายกฯ ตั้ง ศบค.ขึ้นมาแล้วทำให้รัฐมนตรีไม่มีอำนาจในการบริหารจัดการโควิด นายศุภชัยคงจะหมายถึงนายอนุทินว่าไม่มีอำนาจทำอะไรเลย จึงทำให้โควิดระบาดหนักอยู่ในขณะนี้ อย่างนี้เป็นการพูดเอาดีใส่ตัวแล้วโยนความผิดให้คนอื่น มันเป็นธรรมหรือไม่ อยากให้นายศุภชัยไปย้อนถอดเทปฟังคำพูดของนายอนุทินในการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีที่กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา มีนายอนุทินนั่งเป็นประธานการประชุมหัวโต๊ะ พูดไว้ว่าอย่างไร พูดถึงนายกฯ และ ศบค.ไว้อย่างไร ตรงข้ามกับที่นายศุภชัยพูดทุกอย่าง อยากรู้นายศุภชัยควรไปถามนายอนุทินเอาเอง อย่าให้ต้องนำเทปมาเปิดให้นายศุภชัยอับอายเลย นายศุภชัยจะต้องเอาปี๊บมาคุมหัวแน่ถ้าได้ฟังเทปนายอนุทินพูดในการประชุมวันนั้น” นายเสกสกลระบุ
นายเสกสกล หรือแรมโบ้ กล่าวด้วยว่า อยากให้นายศุภชัยไปดูโครงสร้าง ศบค.ว่ารวบอำนาจจริงหรือ รัฐมนตรีไม่มีอำนาจจริงหรือ เพราะโครงสร้างนั้นคือมีการกระจายอำนาจให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีบทบาทในการเสนอแนะและแก้ไขปัญหาควบคู่กันไป เราทำแบบนี้มาตั้งแต่โควิดรอบแรกจนมารอบสอง ก็ภายใต้โครงสร้างนี้ และทำมาถูกทาง ไม่นึกว่าคนที่มีประสบการณ์และเป็นผู้อาวุโสทางการเมืองอย่างนายศุภชัยจะคิดเอาตัวรอด กระโดดเรือหนีในยามวิกฤติของการแก้ปัญหา
ที่ผ่านมาพรรคร่วมอาจมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ทุกครั้งก็ได้แต่พูดถึงมารยาทของการอยู่ร่วมกัน แต่ครั้งนี้พรรคภูมิใจไทยกลับไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้ และไม่คำนึงถึงประชาชนที่กำลังเรียกร้องความร่วมมือในการทำงานแก้ไขปัญหาวิกฤติให้ก้าวผ่านไปให้ได้ หลายครั้งที่นายอนุทินออกมาแอ่นอกสู้กับปัญหาและยอมรับในความผิดพลาดนั้น เป็นเรื่องปกติของการบริหารประเทศ แต่สำหรับนายศุภชัย สงสัยว่าใครสั่งให้ออกมาพูดทำลายน้ำใจและทำลายบรรยากาศของการร่วมมือร่วมใจกันในครั้งนี้ หากพรรคภูมิใจไทยเห็นดีเห็นงามกับความคิดคับแคบและเอาตัวรอดแบบนี้ ต่อไปใครจะกล้าคบเป็นเพื่อน มิตรแท้ยามนี้ควรช่วยกัน แต่คนที่อ้างตนเป็นมิตรแท้ บางครั้งก็คบยากและไว้ใจยากจริงๆ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |