จะชนะโควิดต้องใช้ยุทธศาสตร์ ‘เชิงรุก’ ไม่ใช่ ‘ตั้งรับ’


เพิ่มเพื่อน    

 ยุทธศาสตร์ของการต่อสู้กับโควิด-19 ในขณะที่ตัวเลขคนติดเชื้อยังอยู่ขาขึ้น และความสามารถของระบบสาธารณสุขของประเทศมีความจำกัดต้องมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา

            เพราะโควิด-19 เป็นศัตรูที่มีความสามารถในการปรับตัวตลอดเวลา และเมื่อมันยึดครองพื้นที่ได้มากพอก็จะ  “กลายพันธุ์” เพื่อแพร่กระจายให้กว้างไกลได้ตลอดเวลา

            นายแพทย์และ “นักรบเสื้อขาว” ของเราที่อยู่กลางสมรภูมิจึงเป็นผู้ที่รู้ตื้นลึกหนาบางของยุทธวิธีที่ฝ่ายนโยบายจะต้องฟังและนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง

            ไม่นำเอาการเมืองหรืออคติของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาเป็นหลักของการกำหนดนโยบายอย่างที่เห็นอยู่ในบางกรณีที่ผ่านมา

            หนึ่งในนายแพทย์ที่วิเคราะห์สถานการณ์ได้ค่อนข้างชัดเจนคือ

            ศ.คลินิก นพ.อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์ ที่ผมอ่านพบว่าต้องการจะสรุปให้ชัดว่ายุทธศาสตร์สู้โควิด-19 ขณะนี้ต้องเป็น “เชิงรุก" ไม่ใช่ "เชิงรับ"

            คุณหมออดุลย์ได้แสดงความคิดเห็นในบทความตีพิมพ์ในเว็บไซต์สำนักข่าวอิศราตอนหนึ่งว่า

            "ถ้าเรามัวแต่หาเตียงสนาม หาเครื่องช่วยหายใจ หายา ล้วนเป็นการรักษาที่ปลายเหตุทั้งนั้น ถึงแม้จะจำเป็นสำหรับการดูแลคนที่เป็นผู้ติดเชื้อแล้วก็ตาม แต่เป็นการทำสงครามกับ COVID-19 ที่ต้นทุนสูงมาก....การรบที่จะชนะและต้นทุนต่ำสุด

            คือ 'จำกัดไม่ให้เชื้อสามารถไปหาผู้ติดเชื้อรายใหม่' " คุณหมอบอกว่าถ้าทำได้ในแง่เชิงรุก ส่วนของการตั้งรับก็จะน้อยลงทุกวัน 

            แต่ถ้าทำไม่ได้ ไม่สามารถจำกัดการแพร่เชื้อไปยังผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ เราก็จะตั้งรับชนิดไม่มีวันจบสิ้น

            ในฐานะนายแพทย์ หมออดุลย์ให้ความรู้ว่าเชื้อ COVID-19 ไม่ใช่ไม่มีจุดอ่อน

            จุดอ่อนข้อแรกคือ มันต้องการผู้ติดเชื้อรายใหม่ ถ้ามันอยู่ในร่างกายคนเดิมเกิน 14 วัน มันจะถูกระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลาย (ถ้าคนนั้นไม่ตายเสียก่อน)

            จุดอ่อนข้อที่ 2 คือ มันอยู่ในสิ่งแวดล้อมนอกตัวคนได้ไม่นาน เฉลี่ยไม่เกินชั่วโมง

            ดังนั้น พอมันออกจากคนหนึ่งก็ต้องรีบหาทางเข้าไปยังผู้ติดเชื้อรายใหม่ ถ้าไม่สำเร็จมันก็ตาย

            ทางการแพทย์มีหลักการว่าต้องยอมสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต และถ้าต้องเสียความงามเพื่อรักษาชีวิตและ รักษาอวัยวะก็ต้องทำ

            คุณหมอเห็นว่าควรจะต้องเข้าใจว่า “ล็อกดาวน์” ไม่ใช่  “การกักตัว”

            การ “ล็อกดาวน์” คือการแยกคนป่วยออกจากคนไม่ป่วย

            บางคนอาจจะถามว่า “ทำไมเราต้องอยู่บ้านด้วย เราไม่เห็นป่วยเลย”

            ช่วงนี้ได้ยินคนพูดถึง “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกันยังไง 

            อธิบายได้ดังนี้

            ก่อนหน้านี้เราพูดถึงการ “กักตัว” คือ คนที่สงสัย หรือเสี่ยงติดเชื้อ COVID-19 ควรอยู่บ้านเฉยๆ เพื่อไม่ให้นำโรคแพร่ออกไปติดคนอื่น เพราะโรคนี้ติดคนอื่นได้ตั้งแต่ยังไม่มีอาการ คนอื่นจึงไม่มีโอกาสป้องกันตัว

            ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดตอนนั้น คือให้คนที่ต้องสงสัยอยู่กับที่...แต่พอถึงมาตรการ lockdown หรือมาตรการปิดบ้าน  ปิดเมือง ปิดประเทศ หลักคิดเป็นคนละอย่างกัน

            การทำอย่างนี้จะช่วยในกรณีที่มีคนเสี่ยงติดเชื้อกระจายอยู่ทั่วไป แต่หมอและรัฐไม่รู้ว่าใครบ้างที่ได้รับเชื้อ และมีเชื้ออยู่ในตัวเอง (เจ้าตัวก็ไม่รู้)

            การ lockdown เป็นมาตรการที่ให้ทุกคนอยู่กับที่ เมื่อทุกคนอยู่กับที่ คนที่ได้รับเชื้อแล้วจะปรากฏอาการใน 14  วัน เราก็จะสามารถแยกคนเหล่านั้นออกมารักษา บ้านไหนที่ไม่มีคนป่วย (ไม่มีคนที่มีอาการ) ก็ถือว่าปลอดภัย ส่วนบ้านไหนที่มีคนป่วย คนที่อยู่ร่วมกันในบ้านเดียวกันก็ถือว่าเสี่ยง ต้องเข้าสู่มาตรการ “กักตัว”

            หากใช้วิธีนี้เรื่องจะจบเร็ว เพราะเราจะมองเห็นคนที่ติดเชื้อ มองเห็นคนป่วย

            ไม่เหมือนสถานการณ์ปัจจุบันที่สงสัยไปหมด ไม่รู้ว่า คนรอบข้างมีใครบ้างที่มีเชื้ออยู่ในตัวเอง

            ดังนั้น การ “ล็อกดาวน์” คือการปิดบ้าน ปิดเมือง ปิดประเทศ จึงทำเพื่อแยกคนป่วยออกจากคนไม่ป่วย จะได้พามาดูแลรักษา คนไม่ป่วยจะได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข

            คุณหมอบอกว่าถ้าเราไม่สามารถบอกได้ว่าใครบ้างที่มีเชื้ออยู่ในตัวเอง การ “ล็อกดาวน์” จะดีที่สุด เพราะไม่ยืดเยื้อ

            ดังนั้นการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” จะคล้าย  lockdown ถ้าทำพร้อมกันทุกคน

            คุณหมออดุลย์ย้ำว่า ที่เขียนเรื่องนี้เพื่อบอกคนที่สงสัย ว่า “ทำไมเราต้องอยู่บ้านด้วย เราไม่เห็นป่วยเลย”

            ผมจึงเห็นว่าก่อนที่จะให้รัฐบาลประกาศ “ล็อกดาวน์”  คนไทยเองก็สามารถ “ล็อกดาวน์” ตัวเองเพื่อตัดวงจรการแพร่เชื้อกันอย่างทั่วถึงและกว้างขวาง.

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"