27 เม.ย.64 - น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย พรรคก้าวไกล แสดงความเห็นต่อมาตรการทางเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตโควิด 19 ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า หลังจากการกลับมาระบาดของโควิดในรอบที่ 3 มาเกือบ 1 เดือนแล้ว รอบนี้เหมือนจะเป็นรอบที่หนักที่สุดที่ประเทศไทยเคยเจอมา รัฐบาลก็ยังแสดงทัศนคติไร้ความรับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง ประการสำคัญคือไม่ยอมออกคำสั่งให้มีการล็อกดาวน์ แต่ใช้วิธีโยนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละแห่งไปประกาศมาตรการต่างๆกันเอง ผลที่ปรากฏ คือหลายพื้นที่เริ่มล็อกดาวน์ บางแห่งประกาศเคอร์ฟิว ในขณะที่รัฐบาลโดย ศบค.กลับเลี่ยงบาลีเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องจ่ายเงินเยียวยาก็เท่านั้น ล่าสุด นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยังออกมาให้สัมภาษณ์ยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับมาตรการเยียวยาใดๆ
แถมยังตอบอย่างอารมณ์ดี คิดว่าหากคนไทยช่วยกันก็ยังมีโอกาสที่ GDP ของไทยจะโตขึ้น 4% ได้ เพราะในตอนนี้พบว่าบัญชีเงินฝากของคนไทยสูงขึ้นหลายแสนล้านบาท ดังนั้นหากต้องการให้ GDP สูงขึ้น 4% ก็ขอให้ช่วยนำเงินฝากออกมาใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งหากนำจำนวนเงินฝากจำนวน 5-6 แสนล้านบาท ออกมาใช้ จะเปลี่ยน GDP ได้ถึง 3% หรือหากนำเงินฝากมาใช้เพียงครึ่งหนึ่งก็จะช่วยได้ขยับ GDP ถึง 1% ทั้งนี้ จากการประเมินประเทศไทยจะมี GDP 2.7 % แต่หากได้คนไทย คนรักประเทศ รักชาติ มาช่วยกันใช้จ่าย เห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือคนที่ด้อยโอกาสกว่า ทุกอย่างก็จะกลับมาได้
อยากฝากไปถึงรองนายกฯ ขอให้เลิกฝันเฟื่องถึงตัวเลขจีดีพี 4% ได้แล้ว เพราะหลังเกิดการระบาดระลอก 3 ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจของธนาคารยังประมาณการจีดีพีของประเทศไว้แค่ 1.8% - 2.2% ถึงแม้จะเรียกร้องให้คนรักชาตินำเงินฝากออกมาใช้จ่ายก็ตาม แต่อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ท่านรองนายกได้เสนอว่า แค่นำเงินฝากจำนวน 5-6 แสนล้านเศรษฐกิจก็จะกลับมาโตเพิ่ม 3%
ข้อมูลจากบัญชีประชาชาติที่สภาพัฒน์ฯ ได้รวบรวมเอาไว้ พบว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนการออมของครัวเรือนนั้นอยู่ที่ราว 40% และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่การออมส่วนใหญ่หรือราว 60% นั้นเป็นของบริษัทเอกชนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้เป็นปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีเอกชนลงทุนต่ำ รัฐบาลต้องกระตุ้นให้บริษัทนำเงินมาลงทุนถึงจะเป็นการแก้ปัญหาเงินออมล้นธนาคารที่ถูกต้อง แต่ที่ผ่านมาแทบไม่เห็นมาตรการกระตุ้นการลงทุนเอกชนในประเทศ
ส่วนเงินฝากในบัญชีธนาคารพาณิชย์ก็กระจุกตัวมาก เงินฝากที่เพิ่มขึ้นหลายแสนล้านของท่านรองนายกนั้นเพิ่มขึ้นจากบัญชีที่มีเงินฝากเกิน 1 ล้านขึ้นไป ขอเรียกว่า “เศรษฐีเงินล้าน” เศรษฐีเงินล้านนี้มีอยู่เพียง 2% ของบัญชีเงินฝากทั้งหมด แต่กินสัดส่วนเงินฝากไปแล้วเกือบ 80% ของยอดเงินฝากทั้งหมด เรียกได้มีคนแค่หยิบมือเดียวเท่านั้นที่สามารถแคะกระปุกเงินฝากมาช็อปปิ้งใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ไม่ได้หมายความว่าประชาชนทั้งประเทศมีเงินออมอื้อซ่าแต่อย่างใด
ดังนั้น แทนที่จะกระตุ้นให้เศรษฐีเงินล้านมาใช้จ่าย ทำไมรัฐบาลไม่ยืมเงินเศรษฐีพวกนี้มาลงทุนแทน ให้รัฐเป็นผู้ใช้เงินแทนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยการออกพันธบัตร โดยให้ดอกเบี้ยไม่ต้องแพงมากก็จูงใจกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารแล้ว แต่ลืมไปว่ารอบที่แล้วกู้มา 1 ล้านล้าน ยังใช้ไม่หมดเลย
ที่น่าเสียใจคือ โควิดระบาดระลอกใหม่นี้มาร่วมเดือน ยังไม่ได้ยินคำว่าเยียวยาหลุดออกจากปากรองนายกด้านเศรษฐกิจ พูดถึงแต่ “คนละครึ่ง เฟส 3” ที่เหมือนว่ากว่าจะเริ่มก็ตั้งเดือนมิถุนายน
ยังไม่ได้คิดบัญชีรวมกับผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากประกาศคำสั่งของรัฐบาล เจ้าประจำที่ถูกปิดทุกระลอก อย่างร้านนวด ร้านอาหาร ร้านสัก ฟิตเนส ผับ บาร์ (ที่ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข) พวกเขาไม่เคยได้รับการชดเชยโดยตรงใดๆ นอกเสียจากออกมาตรการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) กลายเป็นว่าผู้ประกอบการต้องมาเป็นหนี้จากความผิดที่พวกเขาไม่ได้ก่อ ลองถามตัวเองดูว่า ตั้งแต่โควิดระบาดมาเป็นเวลา 1 ปีนี้ รัฐบาลได้มีมาตรการปิดร้านรวงต่างๆ มาแล้วถึง 3 ครั้ง ท่านได้เคยช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการตัวเล็กตัวน้อยโดยที่ไม่ต้องให้พวกเขาเป็นหนี้เพิ่มบ้างแล้วหรือยัง
ถ้าอนุทินเป็น #ทองแท้ไม่กลัวไฟ สุพัฒนพงษ์คงเป็น #ทองไม่รู้ร้อน เข้าคิวให้ประชาชนล่ารายชื่อคนต่อไปเป็นแน่ ขอร้องเถอะค่ะ แค่นี้ประชาชนก็ลำบากมากพออยู่แล้ว
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |