สุดารัตน์-บนถนนการเมือง 29 ปี เตรียมคิกออฟ ไทยสร้างไทย
การจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ พรรคไทยสร้างไทย โดยการนำของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นักการเมืองชื่อดังที่อยู่บนถนนการเมืองไทยมาถึงตอนนี้ก็ 29 ปีแล้ว ผ่านตำแหน่งสำคัญทางการเมืองทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติมามากมาย มาวันนี้ที่คุณหญิงสุดารัตน์ออกมาจากพรรคเพื่อไทย พร้อมกับอดีตแกนนำพรรคเพื่อไทยอีกจำนวนหนึ่งเพื่อตั้งพรรคไทยสร้างไทย ทำให้ถูกจับตามองทางการเมืองอย่างมากถึงก้าวย่างของพรรคใหม่ต่อจากนี้ ซึ่งคุณหญิงสุดารัตน์ย้ำถึงการตั้งพรรคครั้งนี้ว่า
“พรรคไทยสร้างไทยจะเป็นพรรคการเมืองที่เป็นของทุกคน จะเป็นพรรคที่ทุกคนจะมาร่วมกันสร้างประเทศไทยที่ดีกว่าร่วมกัน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตัดสินใจสร้างพรรค จึงต้องการทำพรรคให้ดีที่สุด ให้เป็นมาสเตอร์พีซ เป็นพรรคของมหาชน เป็นมาสเตอร์พีซชิ้นสุดท้ายที่จะทำในชีวิตแล้วหลังอยู่บนถนนการเมืองไทยมา 29 ปี"
เส้นทางเดินต่อจากนี้ของพรรคไทยสร้างไทยจะเป็นอย่างไร คุณหญิงสุดารัตน์ พูดถึงฉากทัศน์ของพรรคการเมืองใหม่พรรคนี้ไว้ว่า หลังพรรคไทยสร้างไทยได้รับการอนุมัติจากนายทะเบียนพรรคการเมืองให้จัดตั้งพรรคเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ขั้นตอนต่อไปก็ต้องจัดประชุมใหญ่สามัญของพรรคเพื่อที่จะทำข้อบังคับพรรคและเลือกผู้บริหารพรรค แต่เมื่อมาเจอสถานการณ์โควิดในขณะนี้ ทำให้เดิมทีจากที่ตั้งใจจะจัดประชุมใหญ่พรรคในเดือนเมษายน ถึงตอนนี้ต้องเลื่อนการประชุมออกไปก่อน ที่ก็ยังบอกไม่ได้ว่าจะประชุมได้เมื่อใด แต่ตั้งใจไว้ว่าจะจัดประชุมใหญ่ให้เร็วที่สุด
....สถานการณ์โควิดเวลานี้มีผลทำให้ไทม์ไลน์การดำเนินงานของพรรคที่่เคยเตรียมพร้อมไว้จำเป็นต้องเลื่อนออกไป ซึ่งหากพรรคต้องไปจัดประชุมในเดือนมิถุนายนก็ไม่เป็นไร แต่ระหว่างนี้ก็ถือว่าพรรคไทยสร้างไทยเป็นพรรคการเมืองที่สมบูรณ์แล้ว สามารถดำเนินการทางการเมืองได้ โดยระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนการหาสมาชิกพรรคและทำสาขาพรรคเพิ่ม เช่นที่ภาคใต้จะมีสาขาพรรครวม 3 สาขา ขณะที่ภาคอีสานตอนนี้มีแล้ว 1 สาขา และกำลังจะทำสาขาพรรคเพิ่มอีก 2 สาขา และภาคเหนืออีก 2 สาขา รวมถึงภาคกลางและกรุงเทพมหานครอีกประมาณ 2-3 สาขา
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 1 พ.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันเกิดของตนเอง โดยปกติจะมีการทำบุญเลี้ยงพระ ถวายเพล และจะมีประชาชนมาร่วมทำบุญและรับประทานอาหารด้วยกัน ซึ่งปกติก็จะมีผู้มาร่วมงานเป็นพันคน และก็จะมีงานแบบ ปีละหนคนกันเอง ก็เลี้ยงกันตอนกลางคืน แต่จากสถานการณ์โควิดทำให้ปีที่แล้วก็งดการจัดงาน และปีนี้คงต้องงดจัดงานเช่นกัน แต่ตั้งใจว่าปีนี้ ที่ครบ 29 ปีในการทำงานการเมือง โดยตอนที่เข้าสู่การเมืองครั้งแรกลงสมัคร ส.ส.พรรคพลังธรรม เมื่อ 22 มีนาคม 2535 และหลังเป็น ส.ส.กทม.สมัยแรกได้ไม่กี่วันก็ออกไปร่วมชุมนุมประท้วงในปี 2535 และต่อมาเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 35 ก้าวแรกเข้าสู่การเมืองก็เริ่มด้วยความยากเย็น บรรยากาศเหมือนปัจจุบันที่ต้องทวงประชาธิปไตย ทวงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
....ตอนนี้ผ่านมา 29 ปีแล้ว ที่ยังจำได้ดีว่าภารกิจสำคัญภารกิจแรกที่ทำตอนนั้น คือการนำจดหมายของพลตรีจำลอง ศรีเมือง ไปเจรจากับพลเอกสุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรีเวลานั้น เพื่อขอให้ลาออกจากตำแหน่ง ที่ห้องทำงานของพลเอกสุจินดาที่รัฐสภา ตอนนั้นเราก็เป็น ส.ส.หน้าใหม่ แต่ก็ทำงานหินงานแรก ถือจดหมายไปเจรจาเพื่อให้พลเอกสุจินดาลาออก ตอนนั้นก็คุยกันอยู่นานร่วม 45 นาที แต่พลเอกสุจินดาก็ไม่ลาออก ก็ยอมรับว่าท่านก็เป็นผู้ใหญ่ที่รับฟังเหตุผล ตอนนั้นเราก็ยังเป็น ส.ส.เด็กๆ ท่านก็ถามว่าทำไมต้องไปประท้วง เราก็อธิบายเหตุผลต่างๆ ว่าเราทำตามสิ่งที่ประชาชนเรียกร้อง จากตอนนั้นบรรยากาศและปัญหาต่างๆ มาวันนี้เวียนมาแบบเดิมเหมือนกับย่ำเท้าอยู่กับที่
คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำว่า วันที่ 1 พ.ค.นี้ที่เป็นวันเกิด จะเปิดใจถึงการทำงานทางการเมืองในช่วง 29 ปีที่ผ่านมา โดยเป็นลักษณะสื่อสารแบบผ่านออนไลน์ โดยจะพูดถึงสิ่งที่ได้ทำมาและความตั้งใจที่จะทำต่อจากนี้ โดย 29 ปีที่ผ่านมา เราก็ทำงานผ่านร้อนผ่านหนาวมามากพอสมควร อย่างเช่นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ผ่านมา 29 ปี ถึงแม้ว่ามันยังไม่สำเร็จ ยังย่ำอยู่กับที่แบบเดิม กับปัญหาเดิม แต่ก็ต้องทำต่อไป
ส่วนที่สอง ในเรื่องการทำงาน ซึ่ง 29 ปีที่ผ่านมาก็ได้พยายามผลักดันงานที่ทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนในทุกหน้าที่ ซึ่งได้เข้าไปรับผิดชอบ เช่นสมัยเป็นรัฐมนตรีในสังกัดพรรคพลังธรรม ทั้งตอนเป็น รมช.คมนาคมและ รมช.มหาดไทย ที่รับผิดชอบงานด้านการจราจรและงานด้านกรุงเทพมหานคร ก็ได้ทำหลายโครงการ เช่น การวางแผนแม่บทโครงการรถไฟฟ้า, แผนแม่บททางด่วน, การทำสะพานลอยข้ามทางแยกก็เกิดขึ้นสมัยตนเองเป็นรัฐมนตรี รวมถึงการดำเนินการเพื่อสนองโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 หลายโครงการ รวมถึงการแก้ปัญหาน้ำท่วม หรือสมัยเป็น รมว.สาธารณสุขก็รับผิดชอบโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ที่คนคิดคือ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ และคนที่ตัดสินใจทำก็คืออดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และมอบให้ดิฉันเป็นคนดำเนินการให้สำเร็จ โดยผลักดันจนโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคสำเร็จ หรือการไปทำเรื่องสุขภาพ อาหารปลอดภัย เรื่องการเกษตร สมัยเป็น รมว.เกษตรฯ แต่ตอนนั้นอยู่ได้ประมาณหนึ่งปีก็เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
...จากประสบการณ์ 29 ปี คือสิ่งสำคัญที่ได้ผ่านร้อนผ่านหนาว มาตอนนี้ปัญหาเดิมของประเทศที่มีอยู่ เริ่มตั้งแต่เรื่องประชาธิปไตย ที่แม้เวลาจะผ่านมา 29 ปี แต่จุดยืนของเราเองไม่เปลี่ยนทั้งเรื่องของประชาธิปไตย การดูแลและปกป้อง สนับสนุนให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ มีโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรของประเทศ เช่น การศึกษา สาธารณสุข
"เราก็ตั้งใจว่าในการทำพรรคการเมืองใหม่ครั้งนี้ จะทำผลงานแบบให้เป็นมาสเตอร์พีซเป็นชิ้นสุดท้าย เพราะเคยบอกกับครอบครัวไว้ว่า ทำงานการเมืองครบ 30 ปีแล้วก็จะหยุดทางการเมือง"
...สิ่งที่ตั้งใจนับจากนี้คือ อยากจะสร้างผลงานชิ้นสุดท้ายให้เป็นมาสเตอร์พีซ คือสร้างองค์กรที่ดี สร้างพรรคการเมืองดีๆ เอาไว้ ที่จะรวบรวมคนมีความรู้ความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม ส.ส.ที่เขามีประสบการณ์ รวมไปถึงคนใหม่ๆ คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ใหม่ๆ เข้ามาช่วยกันทำงาน เราตั้งหลักการไว้ว่าพรรคไทยสร้างไทยเราจะเชิญชวนคนทุกกลุ่ม ทุกอาชีพเข้ามาร่วมกัน สร้างอนาคตที่ดีกว่านี้ให้คนไทย เพราะวันนี้ต้องบอกว่าอย่างด้านประชาธิปไตยก็เดินมาถึงจุดต่ำสุด หรือด้านศักยภาพของประเทศ ความสามารถทางการแข่งขันของประเทศก็ต่ำ ส่วนเศรษฐกิจก็แย่ ยาเสพติดก็ระบาดมากที่สุด หลายอย่างในประเทศเดินมาถึงจุดต่ำสุด จึงจำเป็นที่ต้องมีพรรคการเมืองใหม่ที่เป็นของประชาชน โดยประชาชนมีส่วนร่วมจริงๆ โดยนำคนที่มีความรู้ความสามารถมาช่วยกันทำงาน
เป้าหมาย ตั้งไทยสร้างไทย
หวังสร้าง Legacy ทางการเมือง
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวถึงการทำพรรคไทยสร้างไทยต่อไปว่า สำหรับตัวเองจะทำหน้าที่แค่เป็นเสาเข็ม โดยจากประสบการณ์ 29 ปี จะนำประสบการณ์นี้มาวางรากฐานให้พรรคการเมืองใหม่ งานวางรากฐานถือเป็นงานที่ยากที่สุด งานที่ต้องใช้แรงมากที่สุด ถือว่า 29 ปีของเรา เรามีความเชี่ยวชาญพอที่จะวางรากฐานให้แข็งแรง โดยเราก็จะชวนนักการเมืองที่มีความตั้งใจทำงานให้บ้านเมืองมาช่วยกันทำรากฐาน โดยตอนนี้ที่กำลังทำงานกันอย่างหนักก็คือ การเชิญชวนคนใหม่ๆ ที่ไม่ใช่แค่คนรุ่นใหม่อย่างเดียว แต่คือคนที่มีความรู้ความสามารถ เป็นนักบริหารในภาคเอกชน คนใหม่ๆ มาช่วยกันต่อยอด โดยตอนนี้รากฐานจบแล้ว ก็ให้คนใหม่ๆ เข้ามาต่อยอด ทำชั้นที่ 2 ชั้นที่ 3 ชั้นที่ 4 ขึ้นไปถึงชั้นที่ 10 โดยคนใหม่ๆ เหล่านั้น เขามีเรื่องของเทคโนโลยี ความรู้เรื่องโลกยุคใหม่ มีวิทยาการที่ทันสมัย พวกเขาก็จะก่อร่างสร้างตึกเหล่านี้ได้เร็วและมั่นคง เพราะอย่างที่บอกทุกอย่างมันล่มสลายหมดตั้งแต่ระบอบประชาธิปไตยจนถึงเศรษฐกิจ จึงจะต้องมีการสร้างประเทศขึ้นมาใหม่อย่างแข็งแรงและรวดเร็ว ต้องมีการระดมทุกฝ่ายมาช่วยกันสร้างประเทศขึ้นมาใหม่อย่างแข็งแรงและรวดเร็ว
...ที่แบ่งหน้าที่ให้คนที่มีประสบการณ์ทำงานด้านรากฐาน ก็เพราะคนใหม่ๆ ก็ยังไม่มีประสบการณ์ทำรากฐาน ต้องมาเสียเวลาทำรากฐาน แต่ต่อไปไม่ต้องเสียเวลาแล้ว เราจะทำให้ แต่เราก็ไม่มีความรู้หรือวิทยาการโลกยุคใหม่ เท่ากับคนใหม่ๆ เราจึงเชิญชวนคนใหม่ๆ มาช่วยกันทำ และช่วยกันสร้างประเทศไทยขึ้นมาใหม่ให้มันดีกว่านี้
ตอนนี้ก็ทำตัวเองเหมือนเป็นสะพานเชื่อมเอาประสบการณ์ไปสู่คนรุ่นใหม่ แล้วให้คนรุ่นใหม่ๆ เอาความรู้ เอาเทคโนโลยี วิธีการต่างๆ มาช่วยกันทำงาน เพราะเทคโนโลยีจะช่วยการทำงานของภาครัฐให้ทำงานได้เร็วและประหยัดขึ้น เพราะราคาถูกลงและทำให้เกิดการแพร่หลายในวงกว้างมากขึ้น รวมถึงทำให้เกิดความโปร่งใส อย่างการประมูล e-bidding อย่างเดียวก็ยังไม่โปร่งใส แต่ถ้าเราใช้ Blockchain มาทำก็จะช่วยในเรื่องของการประมูลงาน ก็ทำให้มีความโปร่งใสมากขึ้น เป็นต้น
...วันนี้เวลาไปชวนคนรุ่นใหม่ คนใหม่ๆ เข้ามาช่วยกันทำงาน เราจะไปอธิบายให้พวกเขาฟังถึงเรื่องการสร้างตึก ที่เราจะเป็นฐาน ที่กว่าเขาจะมาทำรากฐานก็ยาก แต่เรามีประสบการณ์ เราก็ทำได้เร็วและทำได้แข็งแรง ขณะเดียวกันการที่จะต้องสร้างตึกขึ้นไปถึงชั้นที่สิบ หากจะเอาตัวแบบของตึกจากของเรา ก็ต้องใช้อิฐปูนหนักๆ ต้องใช้เวลา แต่หากใช้แบบการสร้างตึกของพวกเขาที่จะมีเทคโนโลยี มีความรู้ใหม่ๆ เขาก็จะสร้างตึกหลังนี้ได้เร็ว โครงสร้างตึกอาจจะเบากว่าและแข็งแรงกว่าด้วยซ้ำ
สิ่งเหล่านี้คือการผสมผสานที่ต้องการให้เกิดขึ้นบนพรรคใหม่ ที่เหมือนกับการระดมคนทุกรุ่น คนที่มีความสามารถทุกด้านให้มาร่วมสร้างประเทศไทยด้วยกัน และการสร้างครั้งนี้ต้องเร็วและแข็งแรงให้มากที่สุด เพราะตอนนี้หากเป็นคนป่วย ประเทศไทยก็เหมือนอยู่ในไอซียู ก็จะต้องมาช่วยกันสร้างประเทศไทยให้ลุกขึ้นจากไอซียู แล้วรีบเดินก้าวเร็วๆ อย่างแข็งแรง เพราะวันนี้เราช้ากว่าประเทศอื่น เอาแค่ในกลุ่มประเทศอาเซียน จากเดิมที่เราอยู่ในประเทศอันดับต้นๆ แต่วันนี้เรารั้งท้ายเกือบทุกเรื่องแม้กระทั่งการฉีดวัคซีน ที่เราก็รองบ๊วย รวมถึงเรื่องการศึกษา-เศรษฐกิจ จีดีพีของประเทศก็เกือบรองบ๊วย ดังนั้น หลังโควิดประเทศไทยต้องลุกขึ้นมายืนอย่างแข็งแรงโดยเร็วที่สุด
วันนี้ที่ทำมากที่สุดคือการเชิญชวนคนใหม่ๆ เข้ามาทำการเมือง แต่ก็ไม่ได้ละเลยหรือไม่ให้ความสำคัญกับ ส.ส. เดิม เพียงแต่ว่าต้อง combination ถึงจะเป็นพรรคการเมืองที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ เราต้องการเป็นพรรคการเมืองที่สร้างความเปลี่ยนแปลง ถึงได้บอกว่าจะเป็นมาสเตอร์พีซชิ้นสุดท้าย เพราะโดยส่วนตัวก็ไม่ได้หวังที่จะเป็นอะไรหรืออยากได้อะไรแล้ว เครื่องราชอิสริยาภรณ์ก็ได้ครบทุกสายแล้ว ก็เป็นความภาคภูมิใจ โดยสิ่งที่อยากจะทำ ก็คืออยากสร้าง Legacy ทางการเมืองเอาไว้ ก็คืออยากสร้างพรรคการเมือง สร้างบ้านดีๆ หลังนี้เอาไว้ให้สำเร็จ เพื่อให้คนที่มีความสามารถ คนรุ่นต่อไปมาใช้บ้านหลังนี้ในการทำงานเพื่อประเทศไทย เพื่อทำให้พรรคไทยสร้างไทยเป็นพรรคการเมืองที่เป็นของทุกคน และทุกคนก็จะใช้พรรคนี้เป็นเครื่องมือในการสร้างประเทศไทยที่ดีกว่าร่วมกัน
-พรรคไทยสร้างไทยมีจุดเด่นหรือความแตกต่างที่ไม่เหมือนกับพรรคการเมืองอื่นๆ ในปัจจุบันอย่างไร?
คือเวลาพูดหรือเวลาโฆษณาก็จะสื่อสารคล้ายกันหมด เช่นทำเพื่อประชาชน แต่สำหรับไทยสร้างไทยเราก็ต้องบอกแบบนี้ว่า 1.เรายึดมั่นในเรื่องของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2.เราสนับสนุนให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชน ส่วนความแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่น พรรคเราจะโฟกัสและทำให้เห็นว่าหลังผ่านโควิด ประเทศไทยและคนไทยต้องลุกขึ้นยืนได้เร็วอย่างแข็งแรง
พรรคไทยสร้างไทยจะโฟกัสไปที่เรื่องเศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเราจะเป็นปากเสียงให้คนตัวเล็ก ที่หมายถึงตั้งแต่เกษตรกรขึ้นมาจนถึงธุรกิจเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ ที่คนเหล่านี้มีความรู้ในอาชีพของเขาดี ผลิตของออกมาได้ดี แต่ขาดโอกาส ขาดความเท่าเทียม มีกฎระเบียบมากมายที่กดทับเขาไว้ไม่ให้เขาทำมาหากินได้ มีความไม่เท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน และไม่สามารถดำเนินกิจการได้อย่างปกติสุข จนเกิดช่องทางที่ทำให้พวกเขาถูกรีดไถ
ดังนั้น สิ่งที่เราจะทำเพื่อสนับสนุนการทำมาหากินของคนตัวเล็กที่ meaning ไว้ว่าคือเกษตรกร จนถึงนักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษา กลุ่มสตาร์ทอัพ คือจะส่งเสริมศักยภาพให้พวกเขามีโอกาสทำมาหากินอย่างเต็มที่
...อย่างเช่น วันแรกเลย หากพรรคได้เป็นรัฐบาล เราจะออกพระราชกำหนดหนึ่งฉบับเพื่อยกเว้นกฎระเบียบ ข้อบังคับ ใบอนุญาต หลายอย่างที่มีจำนวนมากซึ่งไม่มีความจำเป็น ออกมาเยอะเกินความจำเป็น จนทำให้เกิดช่องทางการทุจริตรีดไถ เช่น หากคนต้องการเปิดร้านอาหารสักหนึ่งร้าน เรื่องสำคัญที่ต้องมีคือโครงสร้างตึกแข็งแรง มีทางหนีไฟที่ก่อสร้างถูกต้อง เรื่องเหล่านี้ต้องมี แต่บางเรื่องที่เป็นเรื่องจุกจิก เช่นใบอนุญาตขายเหล้า อาจไม่ต้องรอให้มีใบอนุญาต เพราะอาจกินเวลาถึง 8-9 เดือน ก็จะให้ทางร้านขายได้เลย เพียงแต่ห้ามทำผิดกฎหมาย เช่น อย่างช่วงโควิดที่ประกาศเคอร์ฟิว 5 ทุ่ม หากพบว่าทางร้านไม่ทำตามประกาศเคอร์ฟิว ก็จะถูกปรับสองเท่าของร้านปกติ ก็จะออก พ.ร.ก.ลักษณะดังกล่าวให้มีผลสัก 3-4 ปี เพื่อจะปรับปรุงกฎหมายหรือกิโยตินกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเปิดโอกาสให้คนทำมาหากินได้ในช่วง 3-4 ปี แต่เรื่องสำคัญๆ ยังต้องมี เช่น ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสำคัญๆ เช่น แพทย์ พยาบาล นักบิน สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พรรคจะทำเพื่อคนตัวเล็กก่อนโดยโฟกัสไปที่เศรษฐกิจ
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวต่อไปว่า พรรคให้การสนับสนุนคนที่มีความสามารถแต่ละด้าน เช่นเรื่อง Technology ไม่ว่าจะเป็น FinTech-HealthTech เราจะส่งเสริมเขาหมด ทีมเศรษฐกิจจึงต้องมีเป็นสิบคน โดยคนเก่งแต่ละด้านต้องมาประกอบร่างเพื่อสร้างรายได้ หาเงินเข้าประเทศร่วมกัน อันนี้คือสิ่งที่เราคิดใหม่และจะเปลี่ยนแปลงประเทศ มาสร้างประเทศด้วยกัน เรากำลังแสวงหาคนเก่งเหล่านี้ให้มาร่วม โดยตอนนี้ก็ได้หลายสาขาแล้ว แต่ยังรีบเปิดตัวไม่ได้เพราะการเมืองไทยมันโหดร้าย หลายคนก็มาช่วยกันทำงานแล้ว เช่นคนที่มาช่วยทำเรื่องเอสเอ็มอี เป็นต้น
"โลกหลังโควิด เรามองว่าประเทศไทยต้องปรับ Landscape หรือปรับยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจใหม่เลย พรรคไทยสร้างไทยจะพลิกวิกฤติโควิดให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศไทย"
...อย่างที่เราเห็นว่าสำคัญก็คือ ไทยต้องเป็นศูนย์กลางอาหารปลอดภัยที่จะส่งอาหารไปขายทั่วโลก โดยพลิกจากที่คนมองว่าเกษตรกรคือภาระของประเทศ ต้องทำให้เขาเป็นคนที่หาเงินสร้างรายได้เข้าประเทศ เกษตรกรต้องรวย คนไทยต้องรวยจากสินค้าเกษตรและอาหาร เพราะโลกหลังโควิดอาหารปลอดภัยสำคัญสุด ประเทศไทยผลิตได้ นอกจากนี้ไทยต้องเป็นศูนย์กลางของการบริการสุขภาพ ต้องเป็น Worldclass ของ Wellness ต้องเป็น Worldclass ของ Health ที่คนทั่วโลกต้องมาใช้บริการตั้งแต่การรักษาจนถึง Wellness จนถึง Spa ต้องดังที่สุดคือประเทศไทย โดยใช้สมุนไพรไทยเป็นตัวชูโรง โดยมีการรักษาและการบริการที่ดี เราต้องเป็นฮับเป็นศูนย์กลาง เป็น Worldclass ของ Medical Tourism และ Wellness รวมถึง Spa
...หากพรรคได้เป็นรัฐบาล เราจะเปลี่ยนประเทศไทย ให้เป็นออฟฟิศของคนเก่งและมหาเศรษฐีทั่วโลก เพราะคนอยากมาใช้ชีวิตในเมืองไทย ยิ่งปัจจุบันทำงานจากตรงไหนก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ต เราก็นำคนเก่งและเศรษฐีทั่วโลกมา Work From Thailand เช่นการขยายวีซ่าได้เป็นปี โดยยิ่งขยายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเก็บค่าธรรมเนียมได้มากเท่านั้น จะทำให้เรามีรายได้เข้าประเทศมหาศาลเพราะเขาต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศไทย
-พร้อมจะรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค เมื่อมีการประชุมใหญ่ของพรรคหรือไม่?
ในฐานะที่พรรคเพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ โดยที่เรามีคนรู้จักทั่วประเทศ ตอนต้นก็ตั้งใจว่าจะรับหน้าที่ในการนำเป็นผู้นำพรรคให้ก่อน แต่เพียงแค่ระยะหนึ่ง เพราะอย่างที่บอก เราต้องการสร้างพรรคนี้ให้เป็นของทุกคน ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง พรรคนี้ไม่ใช่ของสุดารัตน์ ตอนต้นก็อาจจำเป็น ต้องใช้ตัวเราก่อน แต่ขณะเดียวกันเรากำลังสร้างคนรุ่นต่างๆ ให้ขึ้นมาเป็นผู้นำ แต่ถึงแม้เราจะขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคก่อน แต่ก็จะไม่ใช่ผู้นำเดี่ยว เราจะสร้างทีมเวิร์ก-สร้างทีมไทยที่แข็งแรง เพื่อช่วยกันทำงานให้ประเทศไทย
ไทยสร้างไทย ไม่ใช่พรรคสาขา-ไม่มีแตกแบงก์พัน
-หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่นมีการยุบสภา แล้วต้องเลือกตั้งใหม่กันยายน ตุลาคม หรือปลายปีนี้ พรรคไทยสร้างไทยมีความพร้อมแค่ไหนกับการเลือกตั้ง?
ตอนนี้เราก็ยังเป็นพรรคการเมืองมาไม่ถึง 1 เดือน แต่ก็ตั้งเป้าไว้ว่าความพร้อมทั้งหมดทุกด้านของพรรคจะต้องจบภายในสิ้นปีนี้ อันนี้คือเป้าหมาย ไม่ว่าจะในด้านกฎหมาย หรือเรื่องของพื้นที่ นโยบายพรรค ทั้งหมดต้องจบภายในสิ้นปีนี้ สิ่งนี้คือไทม์ไลน์ ส่วนที่จะมีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ที่มีการเสนอให้แก้ไขเรื่องระบบการเลือกตั้ง เรื่องนี้เมื่อตั้งใจทำพรรคแล้วก็พร้อมสู้ทุกระบบ โดยพรรคจะส่งคนลงเลือกตั้งหมดทั้ง 350 เขต
ส่วนการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เราก็พยายามดูอยู่ แต่พรรคเราเพิ่งตั้งขึ้นมาได้ประมาณ 1 เดือน ก็มีงานมากมายที่ต้องทำ เราก็กำลังแสวงหาคนที่เหมาะสมในการส่งคนลงชิงผู้ว่าฯ กทม. ก็ขอเวลาอีกสักระยะ เพราะเหตุการณ์ทุกอย่างเกิดเร็วมาก อย่างตัวเองก็เพิ่งออกจากพรรคเดิมเมื่อ 30 พ.ย.63 ก็มามุ่งมั่นตั้งพรรค ตอนนี้ก็เพิ่งได้รับการอนุมัติ
-ตัวคุณหญิงสุดารัตน์เป็นแกนนำคนสำคัญมาตั้งแต่ตั้งพรรคไทยรักไทย จนตอนนี้คือพรรคเพื่อไทย คนก็อาจมองว่า "ไทยสร้างไทย" เป็นพรรคสาขาหรือกลยุทธ์แตกแบงก์พันของพรรคเพื่อไทยหรือไม่?
ก็ขอยืนยันว่าเราไม่ใช่พรรคสาขา และไม่ใช่การแตกแบงก์พันแน่นอน วันนี้ดิฉันได้ตัดสินใจที่จะมายืนบนขาของตัวเอง โดยรักษาอุดมการณ์เดิมตั้งแต่อยู่กับพรรคพลังธรรม ที่ก็คือยืนอยู่ฝั่งประชาธิปไตย ก็ตั้งใจสร้างพรรคนี้ให้เป็นพรรคของมหาชน ให้เป็นสถาบันทางการเมืองให้ได้ และพรรคนี้ไม่ใช่พรรคของดิฉันคนเดียว ขอยืนยันว่าไม่ใช่พรรคสาขาของใคร และตั้งใจทำพรรคนี้ให้ดีที่สุด
สิ่งสำคัญที่อยากบอกก็คือ ในการทำงานข้างหน้า ซึ่งชีวิตการเมืองอาจจะเริ่มจากพรรคพลังธรรม แต่การต้องเปลี่ยนพรรคสังกัดทุกครั้งก็มีเหตุ เช่นพลังธรรม ก็ตกลงกันว่าจะเลิกพรรค หรือตอนไทยรักไทย พรรคก็ถูกคำสั่งยุบพรรคการเมือง
"ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตัดสินใจสร้างพรรค จึงต้องการทำพรรคให้ดีที่สุด ให้เป็นมาสเตอร์พีซ เป็นพรรคของมหาชน เป็นมาสเตอร์พีซชิ้นสุดท้ายที่จะทำในชีวิตแล้ว"
...สิ่งสำคัญโดยส่วนตัว ตั้งแต่อยู่พรรคพลังธรรมมา ที่ยึดมั่นมาตลอดเป็นหลักการทำงานส่วนตัว คือใช้ "ธรรมเป็นอำนาจ" ที่เหมาะกับยุคนี้พอดี ซึ่งธรรมในที่นี้มีความหมาย เช่นเรื่องของธรรมะ คำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เป็นหลักและเป็นปรัชญาในการครองตน และคุณธรรมที่คนในสังคมควรจะมี และความยุติธรรม ความเที่ยงธรรมที่สังคมเราขาดหาย วันนี้เหมือนกับสังคมเราขาดหายไปทั้ง 3 เรื่อง อย่างคุณธรรมคนก็ไม่ค่อยสนใจแล้ว เมื่อไม่มีทั้ง 3 เรื่องดังกล่าวจึงทำให้การเมืองไทยยุ่งอยู่จนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นหลักการเรื่องการใช้ธรรมเป็นอำนาจก็ยังใช้อยู่ เป็นหลักการส่วนตัวในการทำพรรคการเมืองใหม่ครั้งนี้ด้วย.
โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร
วิจักรพันธ์ หาญลำยวง
..............................................................................
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |