ว่าด้วยการ...ออกจากวัตถุนิยม (2)


เพิ่มเพื่อน    

                                                    (1)

        อาทิตย์นี้...ถ้าว่ากันโดยบรรยากาศ อันที่จริงไม่ค่อยจะเหมาะกับการ เทศน์ ซักเท่าไหร่ เพราะขนาด พระ ยังถูกกวาด ถูกจับ กันไปเยอะ แล้วระดับ ฆราวาส จะไปเหลืออะไร!!! แต่ก็นั่นแหละ...ไหนๆ ก็ไหนๆ ในเมื่อปวารณาตัวเองให้เป็น ทาส ของ ท่านพุทธทาส กันไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว คงต้องหาทางสานปณิธานเรื่อง การออกจากวัตถุนิยม กันต่อไป ส่วนเรื่อง พระ นั้น ไม่ว่าจะเป็น กฎพระธรรมวินัย หรือ กฎหมาย ก็ตาม สุดท้ายแล้ว...ก็คงอยู่ภายใต้ กฎแห่งกรรม นั่นแล...

                                                      (2)

        อย่างที่ว่าเอาไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว...ว่าแนวคิดแบบ วัตถุนิยม ในอินตะระเดียนั้น มีมาก่อนยุคพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซะอีก และหลังจากพระพุทธเจ้า แนวคิดที่ว่านี้ก็ยังไม่ถึงกับหมดไปง่ายๆ ไม่งั้น...ลูกศิษย์ของพวกจารวาก หรือพวกที่นับถือลัทธิ นัตถิกทิษฐิ อย่าง พระเจ้าปายาสิ คงไม่ลุกขึ้นมาออกอาวุธโต้ กับ พระมหากัสสปะ อัครสาวกของพระพุทธเจ้า แบบชนิดดอกต่อดอก อันปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไตรปิฎกบท ปายาสิราชัญญสูตร ให้เราๆ ได้เห็นอยู่จนบัดนี้ และหลังจากโต้กันไปโต้กันมา ไม่ต่างจาก นักวิทยาศาสตร์ ยุคนี้เถียงกับ นักการศาสนา อะไรประมาณนั้น พระเจ้าปายาสิ...ก็ยอมยกธงขาว เปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาไปในท้ายที่สุด...

                                                    (3)

        และไม่ใช่แต่เฉพาะในอินตะระเดีย...ในมหาอาณาจักรกรีก ยุคที่กำลังเฟื่องฟูทางปัญญา บรรดาแนวคิดแบบวัตถุนิยม หรือสสารนิยม (materialism) ก็ฟุ้งเฟื่อง เรืองรุ่ง มิใช่น้อย นักคิด นักปราชญ์ อย่าง ทาเลสแห่งไมล์ตุส (Thales of Miletus) และลูกศิษย์ ลูกหา อย่าง อาแนกซิมานเดอร์ (Anaximander) ก็คิดๆ อะไรต่อมิอะไรไม่ต่างไปจากพวก จารวาก ในอินเดียนั่นเอง คือหันไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่สามารถสัมผัสได้ทางหู-ตา-จมูก-ลิ้นกาย ว่าเป็น ความจริง เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ส่วนอะไรที่นอกเหนือไปกว่านั้น ไม่ว่าเรื่องเทพเจ้า พระผู้เป็นเจ้า เรื่องจิต เรื่องวิญญาณ ต่างถือเป็นเรื่อง ไม่จริง กันไปทั้งสิ้น อย่างที่ลูกศิษย์บางราย เช่น เอ็มเพโดเคลส (Empedocles) อรรถาธิบายเอาไว้ใน ทฤษฎีธาตุ 4 ประมาณว่า...“สิ่งมีชีวิตทุกชนิดนั้น เกิดขึ้นจากการรวมตัวโดยบังเอิญ อย่างเหมาะเจาะ ของสสาร หรือของธาตุทั้ง 4 อันได้แก่ ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ โดยเริ่มต้นจากไฟ อันเป็นพลังงานซึ่งอยู่ใต้พื้นผิวโลก เป็นตัวผลักดันให้เกิดพืช ปรากฏขึ้นมาในฐานะสิ่งมีชีวิตรายแรกของโลก จากนั้นจึงค่อยปรับสภาพ หรือวิวัฒนาการ จนกลายเป็นสรรพสัตว์ต่างๆ รวมทั้งมนุษย์ ตามเงื่อนไขและสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกันไป...”

                                                (4)

        แต่แม้ว่าโลกของชาวกรีกยุคนั้นจะมี ประชาธิปไตย กันมาตั้งแต่แรก...แนวคิดในแบบหยาบๆ ง่ายๆ เช่นนี้ ก็ไม่ได้ถึงกับดังระเบิดเถิดเทิง กลายเป็น ความเชื่อ อะไรมากมายเหมือนกับโลกยุคนี้ เพราะบรรดานักคิด นักปราชญ์ ที่สุดแสนจะฉลาดลึกซึ้งอีกหลายต่อหลายราย ไม่ว่า โสเกรตีส (Socrates) หรือ เพลโต (Plato) ฯลฯ ท่านไม่เอาด้วยกับความคิดประเภทนี้ ยังยึดมั่น ถือมั่น อยู่กับเรื่องจิต เรื่องวิญญาณ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่มิอาจสัมผัสได้ด้วยหู-ตา-จมูก-ลิ้น-กาย แต่ท่านก็พยายามอธิบายถึง ความมีอยู่ ของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ด้วยถ้อยคำที่พิลึก พิลั่น ตามสำนวนของนักปรัชญา เช่น คำว่า โลกแห่งแม่พิมพ์สมบูรณ์แบบ, สัจสมบูรณ์ หรือ ความยุติธรรมที่สมบูรณ์ ฯลฯ ที่ใครอยากรู้รายละเอียดคงต้องไปปวดหัวกันเอาเอง...

                                                    (5)

        เรียกว่า...โดยสรุปรวมความแล้ว แม้ว่า ความเจริญเติบโตทางวัตถุ มันจะโตยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไปตามลำดับขั้น ตามยุค ตามสมัย แต่มันก็ยังถูกถ่วง ถูกรั้ง เอาไว้ด้วย ความรู้ทางจิต อันเป็นสิ่งที่ฝังรากมากับ ความเป็นมนุษย์ มาตั้งแต่มนุษย์รายแรกเริ่มลุกขึ้นยืน 2 ขา อย่างที่ว่าๆ กันไปแล้ว แม้จะมีการประดิษฐ์ คิดค้น เครื่องมือ เครื่องใช้ใหม่ๆ ที่ก้าวหน้า ก้าวไกลขึ้นไปเพียงใด แต่ ศาสนา นั้น...ยังถือเป็นสิ่งจำเป็น และสิ่งที่มีความสำคัญเอามากๆ สำหรับการดำรงความเป็นมนุษย์ในสังคมแต่ละสังคม ไม่ว่าจะเป็นศาสนาในแบบชุมชนดั้งเดิม ศาสนาแห่งรัฐ หรือศาสนาที่ยกระดับขึ้นเป็น ศาสนาสากล อย่างพุทธ คริสต์ อิสลาม หรือฮินดู ฯลฯ เป็นต้น...

                                                    (6)

        จนกระทั่งเมื่อยุคประมาณ 200-300 ปีที่ผ่านมานี่เอง...มันดันได้เกิด จุดเปลี่ยน ที่ฉกาจฉกรรจ์เอามากๆ อุบัติขึ้นมาในสังคมชาวยุโรป จุดเปลี่ยนที่ทำให้ อภิมหานักวัตถุนิยม อย่าง คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เจ้าพ่อคอมมิวนิสต์ ผู้นิรมิต เสกสรรค์ ทฤษฎี วัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์ ถึงกับสรุปเอาไว้ว่า...นี่คือการปล่อยหมัดตาย ล้มคว่ำความเชื่อดั้งเดิมของชาวยุโรป อย่างไม่มีวันฟื้นกลับคืนขึ้นมาได้อีก ทันทีที่ได้เห็นผลงานการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ที่เรียกๆ กันว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิต ของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) อันเป็นทฤษฎีที่แทบไม่ได้แตกต่างอะไรไปจาก ทฤษฎี 4 ธาตุ ของนักคิดชาวกรีก อย่าง เอ็มเพโดเคลส เอาเลยแม้แต่นิด แต่เหตุใด...มันถึงได้ดังระเบิดเปรี้ยงๆ ปร้างๆ ขึ้นมาในยุโรป และแผ่ขยายไปทั่วทั้งโลก จนกลายเป็น กรงขัง ที่ทำให้ใครต่อใครไม่อาจ ออกไปจากวัตถุนิยม จนตราบเท่าทุกวันนี้ อันนี้นี่แหละ...เลยคงต้องขออนุญาต เทศน์ ต่อไปอีกซักพัก ถือซะว่า เทศน์แทนพระ ในช่วงนี้ก็แล้วกัน...


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"