ภูเขา และ ทะเลสาบ


เพิ่มเพื่อน    

ทะเลสาบบิวะฝั่งใต้ส่วนที่ติดกับเมืองโอสึ

วันอาทิตย์ที่แล้วผมได้เขียนถึงสวนอุเอโนะ และช่วงหนึ่งได้ระบุถึง “บึงชิโนบาสุ” และ “วัดคาเนอิจิ” ที่สร้างในสมัยของโชกุน “โตกุกาวะ อิเอมิตสึ” หลังจากที่“โตกุกาวะ อิเอยาสึ” รวมชาติญี่ปุ่นได้สำเร็จและย้ายเมืองหลวงจาก “เฮอัง” (เกียวโต) ไปยัง “เอโดะ” (โตเกียว)

บ่อน้ำชิโนบาสุนั้นคือตัวแทนของ “บิวะโกะ” หรือทะเลสาบบิวะ ในจังหวัดชิกะ ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และวัดคาเนอิจิ คือวัด “เอ็นยากูจิ”บนภูเขา “ฮิเอะ” ที่อยู่ติดกับทะเลสาบบิวะด้านตะวันตกเฉียงใต้ คาบเกี่ยวระหว่างจังหวัดชิกะและจังหวัดเกียวโต

อาทิตย์นี้เลยจะขออนุญาตนำท่านผู้อ่านมายังการเดินทางไปเยือนญี่ปุ่นครั้งที่ 3 ของผมเมื่อฤดูใบไม้เปลี่ยนสีปีที่แล้ว ซึ่งมีโอกาสได้ขึ้นไปเยี่ยมชมวัดเอ็นยากูจิและมองลงมายังทะเลสาบบิวะจากภูเขาฮิเอะ สองธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่นในภูมิภาคคันไซ

หลังจากค้างหนึ่งคืนที่โอซาก้า ย่านริงกุทาวน์ และอีกคืนในเกียวโต ย่านพอนโตโช ผมก็เดินทางระยะสั้นๆ ด้วยรถไฟจากสถานีเกียวโตไปยังสถานีโอสึเกียว เมืองโอสึ จังหวัดชิกะ ใกล้ๆ อพาร์ทเมนต์ของ “ฮิโรกิ” เพื่อนชาวญี่ปุ่นของผม ฮิโรกิเคยเดินทางไปพำนักที่กรุงเทพฯ พร้อม “เอมิซัง” แฟนสาวในตอนนั้น (ปัจจุบันคือภรรยา) เป็นเวลาราว 2 ปี และเรียนภาษาไทยจนพูดได้พอเข้าใจ เมื่อต้นปีที่แล้วคู่รักก็ได้ตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตในญี่ปุ่นอีกครั้ง

ขณะผมกำลังยืนดูการปราศรัยของคณะผู้สมัคร ส.ส. บนรถเครื่องขยายเสียงบริเวณด้านหน้าของสถานีรถไฟก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในเดือนถัดไป ฮิโรกิก็เดินเข้ามาหาและสวมกอดทักทาย ผมไม่ทันได้ถามว่าใช่พรรคที่เขาสนับสนุนหรือเปล่า เขาก็เดินนำไปยังรถยนต์นิสสันแบบอีโคคาร์ที่เพิ่งเช่ามา ในรถมีคนนั่งรออยู่

ไม่ใช่ “เอมิซัง” ภรรยาของเขา แต่เป็นสตรีอีกคนอายุอานามเป็นรุ่นพี่ของพวกเราทั้งคู่ ฮิโรกิแนะนำให้ผมรู้จักว่านี่คือ “โจมิซัง” อาจารย์สอนภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยเกียวโต พวกเขารู้จักกันเมื่อครั้งเดินทางท่องเที่ยวในกัมพูชาเมื่อราว 3 ปีก่อน เธอบอกว่าเรียก “โจ” เฉยๆ ก็ได้

ผมถามว่าเราเป็นเพื่อนบ้านกันหรือเปล่า โจตอบว่าพวกเราเป็นชาวเอเชียอาคเนย์เหมือนกัน “ฉันมาจากฟิลิปปินส์”

ฮิโรกิเฉลยว่าเอมิซังจะนั่งรถไฟตามไปที่เมืองทาคาชิมาค่ำนี้ เธอยังทำงานไม่เสร็จ และก่อนอื่นเราควรกินมื้อเที่ยงกันก่อน

นิไน-โด เชื่อมกันด้วยระเบียงทางเดิน มีตำนานเล่าว่าพระสงฆ์นาม “เบนไก” ผู้แกร่งกล้าสามารถแบกขึ้นบ่าได้

ร้านอาหารอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ พนักงานต้อนรับเดินนำไปยังห้องส่วนตัว เราสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะตามคำแนะนำของคนเดินโต๊ะ และกินจนอิ่มแปล้ โดยเฉพาะตัวผมที่เมื่อคืนวานแทบไม่ได้กินอะไรมากนัก นอกจากเครื่องดื่มประจำชาติญี่ปุ่นชนิดหมักจากข้าว

ระหว่างทางขึ้นภูเขาฮิเอะ (Hiei-zan) ที่คดเคี้ยว บวกด้วยอาหารอิ่มท้องและสาเกคงค้าง ทำให้เกือบต้องขอให้ฮิโรกิจอดรถตั้งหลายครั้ง แต่ฝืนประคองตัวจนถึงลานจอดรถด้านบนของวัดเอ็นยากูจิ (Enryakuji) ปัจจุบันเป็นทั้งมรดกของประเทศและมรดกโลกขององค์การยูเนสโก

วัดแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 788 โดยพระสงฆ์นาม “ไซโช” โดยการสนับสนุนของจักรพรรดิ “กัมมุ” เพื่อเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์พิทักษ์เฮอัง เมืองหลวงแห่งใหม่ (หลังย้ายมาจาก “นาระ”) จากวิญญาณชั่วร้ายมีจะมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

พระสงฆ์ไซโชนั้นได้เดินทางไปศึกษาพุทธศาสนานิกายเทียนไท้ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาเทียนไท้ที่เมืองจีน และได้กลับญี่ปุ่นไปตั้งสำนักขึ้นและเรียกว่านิกายเทนได ไม่นานก็มีลูกศิษย์ลูกหามากมายบวชเข้าไปอยู่ไต้ร่มกาสาวพัสตร์ หลัง 12 ปีแห่งการบำเพ็ญเพียรเรียนรู้ พระที่เก่งจะมีตำแหน่งในวัด ส่วนที่เหลือก็จะลาสิกขาไปรับราชการและทำงานการเมือง

ใช้เวลาไม่นานวัดแห่งนี้ก็กลายเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาในญี่ปุ่น ผู้ก่อตั้งนิกายใหม่หลายนิกายเคยศึกษาอยู่ที่วัดนี้แทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะ นิชิเรน และ เซน ตอนที่รุ่งเรืองสูงสุดนั้นมีวัดเล็กๆ ถูกสร้างกระจัดกระจายทั่วอาณาเขตบนยอดเขาถึงกว่า 3,000 วัด

ในช่วงที่ “โอดะ โนบุนางะ” ขึ้นมาเป็นใหญ่ เขามองวัดแห่งนี้เป็นภัยสำหรับตัวเองและเป็นอุปสรรคสำหรับการรวมชาติ เพราะมีอิทธิพลทางการเมืองสูง และมีกองกำลังพระของตนเองด้วย จึงส่งกองทัพขึ้นมาปราบเมื่อปี ค.ศ. 1571 สังหารหมู่พระสงฆ์และเผาทำลายวัดจนเกือบเหลือแต่ซาก

ชากา-โด อาคารหลังเก่าแก่ที่สุดของวัด

อย่างไรก็ตาม วัดเอ็นยากูจิที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงเอโดะในยุคของโชกุนตระกูล “โตกุกาวะ” ก็ค่อยๆ ถูกสร้างขึ้นใหม่จนกลับมามีความสำคัญอีกครั้งแม้ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะชื่อเสียงของพระสงฆ์ที่มุ่งบำเพ็ญตบะและถือสันโดษ

วัดเอ็นยากูจิถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ “โทโดะ” ทางตะวันออก, “ไซโตะ” ทางตะวันตก และ “โยกาวะ” ทางเหนือ อารามสำคัญๆ ส่วนใหญ่จะอยู่รวมกันในส่วนโทโดะ สองส่วนแรกนั้นสามารถเดินถึงกันโดยใช้เวลาประมาณ 20 นาทีผ่านเส้นทางธรรมชาติ แต่ส่วนโยกาวะนั้นอยู่ห่างออกไปจากไซโตะหลายกิโลเมตร

ฮิโรกิจอดรถที่ลานหน้าปากทางเข้าส่วนไซโตะที่ท้องฟ้าเปิดโล่ง แต่พอเดินเข้าไปก็เป็นโลกของต้นไม้สูงใหญ่ โดยเฉพาะบรรดาต้นซีดาร์ สงบร่มรื่น อากาศปรับอุณหภูมิลดลงอย่างฉับพลัน

เราเดินไปทางซ้ายผ่านศาลานิไน-โด เป็นอาคารไม้สองฝั่งซ้าย-ขวา เชื่อมกันด้วยระเบียงทางเดินที่เป็นเหมือนสะพานลอย ลอดระเบียงนี้แล้วเดินลงบันไดหินลาดชันไปยังศาลาชากา-โด เป็นอาคารหลังเก่าแก่ที่สุดในวัดซึ่งกำลังมีพิธีการสำคัญอยู่พอดี ฮิโรกิซื้อตั๋วจากพระสงฆ์ให้ผมและโจ ราคาคนละ 700 เยน พวกเราเดินขึ้นบันได ถอดรองเท้าแล้วเข้าไปนั่งฟังบทสวดตรงเฉลียงด้านหน้า ไม่มีเสียงพูดคุย ฮิโรกิจึงไม่สามารถอธิบายให้ฟังได้ว่าเป็นพิธีอะไร

สักพักก็เริ่มอนุญาตให้เดินเข้าไปด้านในตัวอาคาร ทราบว่าเพิ่งจะเปิดต่อสาธารณะเมื่อไม่นานมานี้ ด้านในคือรูปปั้นและรูปแกะสลักโบราณของเทพเจ้าหลายสิบองค์ แสงไฟที่เปิดเพียงสลัวยิ่งทำให้ดูขรึมขลังน่าเกรงขาม ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป และทางเดินแคบๆ ลักษณะต้องเดินวนไปยังทางออก บังคับให้เราอยู่ในนี้ได้เพียงชั่วสองสามนาทีเท่านั้น

เมื่อออกมาเราก็เดินกลับไปขึ้นรถยนต์แม้ว่าจะมีศาลาเล็กๆ อยู่อีกจำนวนหนึ่งในบริเวณนี้ ฮิโรกิขับไปยังลานจอดของด้านหน้าส่วนโทโดะ ตั๋วที่เราซื้อก่อนหน้านี้สามารถใช้ครอบคลุมได้ทั้ง 3 ส่วน

ต้นไม้ใหญ่มักได้รับการเคารพบูชา​​​​​​​

วัดส่วนนี้มีศาลาและอารามของพระมากกว่าส่วนอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีร้านค้าและห้องน้ำไว้บริการนักท่องเที่ยวที่มีเยอะกว่าโซนอื่นเช่นกัน พวกเราเดินชมอยู่ได้ไม่นานก็เดินกลับออกไป และพร้อมใจกันแวะดื่มชาร้อนที่ร้านหน้าประตูทางเข้า ฝ่ายโจนั้นพิเศษที่มีเครื่องดื่มที่เธอเรียกว่าสาเกสดมาดื่มด้วย แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็น “นิโกริ” สาเกที่กรองอย่างหยาบๆ (อย่างตั้งใจ) มากกว่า เพราะมีลักษณะสีขาวขุ่น แม้ไม่ถึงกับเข้มจนคล้ายสาโท “มักกอลลี” ของเกาหลี แต่ผมไม่ขอชิมตามคำเชิญเพราะยังไม่หายอาการคลื่นไส้ ส่วนฮิโรกิกินขนมหวานถั่วแดงต้มผสมแป้งโมจิ

เราปล่อยให้ส่วนโยกาวะของวัดเอ็นยากูจิอยู่อย่างอิสระตามบัญชาของคนนำทาง ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย ฮิโรกิขับลงจากยอดเขาฮิเอะที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 848 เมตร ไปยังจุดชมวิว มองเห็นทะเลสาบบิวะส่วนทางด้านทิศใต้เป็นรูปหัวใจอยู่เบื้องล่าง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงจันทร์ลอยเด่นแม้เวลายังไม่ห้าโมงเย็นดีนัก จุดชมวิวตรงนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ชื่อ Garden Museum Hiei ตั้งอยู่ด้วย แต่เราไม่ได้เข้าไป

การเดินทางขึ้นมายังวัดเอ็นยากูจินั้น นอกจากทางรถยนต์แล้วก็ยังมีรถบัสจากเกียวโต รถกระเช้า 2 สาย ทั้งจากฝั่งเกียวโตและฝั่งชิกะ แต่ในฤดูหนาวระหว่างเดือนธันวาคมถึงกลางมีนาคมจะไม่มีบัสและรถกระเช้าจากฝั่งเกียวโตให้บริการ

หอระฆัง ตีดังทั้งวัน​​​​​​​

ฮิโรกิขับผ่านด่านเก็บค่าผ่านทางออกจากเขตอุทยานอีกด้านหนึ่ง เมื่อลงสู่ถนนด้านล่างแล้วก็ขับเลียบทะเลสาบบิวะมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังเมืองทาคาชิมาในเวลาที่อาทิตย์ส่องแสงจางและค่อยๆ มืดลงในที่สุด

เราแวะถ่ายรูปกับเสาประตูโทริอิในทะเลสาบด้านหน้าศาลเจ้าชิราฮิเกะ เสาโทริอิเรืองรับกับแสงไฟประดิษฐ์ที่ยิงออกไปจากฝั่ง มีดวงจันทร์ลอยบนท้องฟ้าเป็นฉากหลัง ดูแล้วช่างสวยงามสอดคล้อง

พระจันทร์จะเต็มดวงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

บ้านพักของเราค่ำคืนนี้ตั้งอยู่ริมทะเลสาบที่มีถนนกั้น เป็นบ้านไม้ 2 ชั้นครึ่ง เจ้าของบ้านคือพ่อของเอมิซัง หรือพ่อตาของฮิโรกินั่นเอง แกมาถึงไล่เลี่ยกับเราเพื่อเปิดประตูบ้านให้ พ่อตาที่ญี่ปุ่นก็เหมือนพ่อตาบ้านเรา ลูกเขยเรียกว่า “พ่อ” เหมือนกัน ผมไม่รู้จักชื่อจริงของพ่อตาฮิโรกิเพราะเขาแนะนำว่า “นี่คือโอโต้ซัง” หรือคุณพ่อ

บ้านของโอโต้ซังหลังสำหรับอยู่อาศัยกับโอก้าซัง (คุณแม่) อยู่ในเขตตัวเมืองทาคาชิมา ส่วนหลังนี้มีไว้สำหรับพักผ่อนยามว่าง และบ่อยครั้งน่าจะมีกิจกรรมดนตรีสังสรรค์กันด้วย เพราะในห้องรับแขกมีเครื่องเล่นแผ่นเสียง เปียโน 1 หลัง กีตาร์อคูสติก 2 ตัว กีตาร์ไฟฟ้าอีก 2 ตัว หนึ่งในนั้นคือ “ฮอฟเนอร์ 500/1” เบสกีตาร์รูปทรงคล้ายไวโอลินรุ่นเดียวกับที่ “พอล แม็คคาร์ทนีย์” แห่ง “เดอะบีทเทิลส์” ใช้ในยุคแรกๆ

ผมจึงถาม “ได้ไปดูพวกเขาที่โตเกียวหรือเปล่าครับ ?”

“ไปทั้ง 2 ครั้งเลย แต่ครั้งที่ 2 ต้องผิดหวังเพราะพอล แม็คคาร์ทนีย์ ป่วยกะทันหัน คอนเสิร์ตถูกยกเลิก”

ฮิโรกิ เพื่อนของผู้เขียน​​​​​​​

“เป็นบ้านที่สวยและน่าอยู่มากเลยนะครับ” ผมเปลี่ยนเรื่อง

“ใช่ ผมก็คิดอย่างนั้น แต่จะเก็บไว้ก็ไม่มีเวลาดูแล ใจหายเหมือนกันที่จะต้องขายมันไปในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า” โอโต้ซังพูดภาษาอังกฤษได้ดีมากเพราะเคยไปใช้ชีวิตที่อเมริกาอยู่นานหลายปี

ฮิโรกิเตรียมผ้าขนหนูสำหรับไปออนเซ็นเสร็จเรียบร้อยเราก็ออกจากบ้านแล้วแวะรับเอมิซังที่สถานีรถไฟ ก่อนมุ่งหน้าสู่บ่อออนเซ็นในเขตมากิโนะ ผ่านต้นซากุระที่เรียงแถวกันอยู่สองข้างทาง และโน้มเข้าหากันเป็นอุโมงค์ต้นไม้

แม้กลางคืนก็ยังเห็นความงาม.

ประตูโทริอิของศาลเจ้าชิราฮิเกะ ตั้งอยู่ในทะเลสาบบิวะ


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"