พอโจ ไบเดนเข้านั่งทำเนียบขาวแทนโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา สี จิ้นผิงที่ปักกิ่งคงจะเตรียมตั้งหลักรับแรงกดดันจากวอชิงตันเรื่องไต้หวันเกือบจะทันที
และเป็นอย่างที่คาด...ไบเดนและทีมนโยบายต่างประเทศและกลาโหมของเขาเปิดฉากประกาศเตือนปักกิ่งอย่าได้คุกคามไต้หวัน
เพราะสหรัฐฯ ยืนยันในพันธกรณีปกป้องไต้หวัน ตามสนธิสัญญาที่มีมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว
มีหรือที่สี จิ้นผิงจะยอมให้วอชิงตันข่มขู่เช่นนั้น
ไม่ช้าไม่นาน ปักกิ่งก็ต้องแสดงแสนยานุภาพทางทหารเหนือไต้หวันให้สหรัฐฯ ได้เห็นเป็นประจักษ์
วันดีคืนดีจีนก็แผลงฤทธิ์ให้ไบเดนและประธานาธิบดีไช่ อิงเหวินของไต้หวันได้ดูเป็นขวัญตา
วันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมไต้หวันออกข่าวว่าเครื่องบิน 25 ลำ รวมถึงเครื่องบินขับไล่และเครื่องบินทิ้งระเบิดที่สามารถติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ ได้บินเข้าสู่เขตที่เรียกว่า เขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศ (Air Defence Identification Zone--ADIZ)
นี่ถือเป็น "ดรามา" ไม่ธรรมดา
เพราะเท่ากับเป็นการบุกรุกของแผ่นดินใหญ่ต่อเกาะไต้หวันครั้งใหญ่ที่สุดในรอบปี
อีกทั้งยังเกิดขึ้นในช่วงที่อเมริกาบอกว่าจีนได้แสดง "ความก้าวร้าวที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก" ในระยะหลังด้วย
ฝูงบินของจีนครั้งนี้มีเครื่องบินรบ 18 ลำ
เครื่องบินทิ้งระเบิดที่สามารถติดหัวนิวเคลียร์ได้ 4 ลำ เครื่องบินต่อต้านเรือดำน้ำ 2 ลำ
อีกทั้งยังมีเครื่องบินเตือนภัยล่วงหน้าอีก 1 ลำ
ไต้หวันไม่ได้อยู่เฉยๆ ส่งเครื่องบินประจัญบานออกไปสกัดส่งสัญญาณเตือนเครื่องบินไอพ่นของจีนให้รู้ตัวว่า "อย่ามาแหย็ม!"
ระบบขีปนาวุธเฝ้าระวังฝูงบินรบของจีนก็ถูกสั่งการให้เตรียมพร้อมเช่นกัน
นี่ย่อมไม่ใช่ครั้งแรกที่จีนแสดงแสนยานุภาพทางทหารในบริเวณนั้น
หลายเดือนที่ผ่านมาปักกิ่งได้ส่งเครื่องบินออกลาดตระเวนเหนือน่านน้ำสากล โดยเฉพาะระหว่างพื้นที่ทางใต้ของไต้หวันและหมู่เกาะสแปรตลีที่ไต้หวันควบคุมอยู่ในทะเลจีนใต้
จังหวะทางการเมืองย่อมมีความสำคัญต่อการตีความการเคลื่อนไหวทางทหารของจีน
เพราะเรื่องล่าสุดนี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากที่นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ออกมาประกาศว่า สหรัฐฯ มีความกังวลเกี่ยวกับ "การกระทำที่ก้าวร้าวเพิ่มขึ้น" ของจีนที่มีต่อไต้หวัน
รัฐมนตรีต่างประเทศมะกันคนนี้ย้ำว่า สหรัฐฯ มีพันธสัญญาตามกฎหมายต่อไต้หวัน
ยืนยันว่ารัฐบาลสหรัฐฯ "จะสร้างความมั่นใจว่าไต้หวันมีความสามารถในการปกป้องตัวเอง"
สำทับว่าใครที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันเท่ากับกำลังกระทำ "ความผิดพลาดที่รุนแรง”
การที่จีนส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดไปลาดตระเวนในบริเวณนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดคำถามว่า
ปักกิ่งกำลังจะส่งสัญญาณอะไร
เป็นการข่มขู่ให้ไต้หวันกลัวและไม่กล้า “ซ่า” มากไปกว่านี้
หรือเป็นการเตรียมเพื่อโจมตีไต้หวันจริงๆ
แต่ที่ค่อนข้างแน่ชัดคือ จีนต้องการบอกกับสหรัฐฯ ว่า วอชิงตันคิดผิดที่พยายามส่งเสริมความสัมพันธ์กับรัฐบาลไต้หวันมากขึ้น
หรือที่คิดจะขยับขยายเคลื่อนย้ายทหารเรือเข้ามาประจำการในภูมิภาคนี้มากขึ้น
คล้ายๆ กับการนำเอานโยบาย Pivot to Asia หรือ "ปักหมุดเอเชีย" ที่เปิดตัวในยุคของบารัก โอบามา (ตอนที่โจ ไบเดนเป็นรองประธานาธิบดี) กลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง
แต่ทุกครั้งที่จีนออกปฏิบัติการทางอากาศเช่นนี้ ก็เท่ากับกดดันให้ไต้หวันต้องตระเตรียมเพื่อที่จะตอบโต้
ยิ่งทำให้ไต้หวันต้องสั่งสมกำลังทางทหารมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
ปักกิ่งสร้างภาพว่าไต้หวันกำลังเข้าใกล้ “ประกาศแยกตัว” เป็นเอกราชออกจากแผ่นดินใหญ่
เป็นแนวทางออกข่าวที่ให้คนจีนในแผ่นดินใหญ่เกิดกระแสความรักชาติและต่อต้านการ “แยกดินแดน” ของไต้หวันหนักขึ้น
จนทำให้เกิดกระแสชาตินิยมในหมู่คนจีนสูงพอที่จะเริ่มหันมาเห็นด้วยกับการ “ลงโทษ” ไต้หวันที่คิดจะแยกตัวเองออกจากความเป็นจีน
นานๆ ครั้งผู้นำจีนก็จะเอ่ยอ้างจุดยืนเดิมที่ว่า หากจำเป็นเพื่อปกปักรักษาอธิปไตยของจีน ปักกิ่งก็จะยังสงวนสิทธิ์ที่จะใช้กำลังกับไต้หวันได้
พูดง่ายๆ คือจีนแผ่นดินใหญ่ยังไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังเพื่อยึดไต้หวันกลับคืน “อ้อมกอดแม่”
กลายเป็นว่าวันนี้สหรัฐฯ พยายามจะแหย่หนวดเสือจีน
จีนก็พยายามจะส่งสัญญาณเตือนไต้หวัน
ไต้หวันก็ยืนยันว่าไม่กลัวจีน
พอวอชิงตันชวนโตเกียวมาร่วมวงไพบูลย์กับไต้หวันเท่านั้น อุณหภูมิแห่งภูมิรัฐศาสตร์ย่านนี้ก็ระอุขึ้นมาทันที!.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |