อัดยับคลิปจับพุทธะอิสระ


เพิ่มเพื่อน    

  ทนายเผย "พุทธะอิสระ" รับนำพระปรมาภิไธยไปใช้จริง รอประกันชั้นอัยการ "ไพบูลย์" ชี้ยังไม่เปล่งลาสิกขา ยังไม่ขาดความเป็นพระ ผบ.คุกสั่ง จนท.ดูแลอยู่แดนเดียวกับ "จตุพร" รุมสับกองปราบฯ ทำเกินกว่าเหตุ ราวกับโจรปล้นฆ่า น่าอายปล่อยพระโกงหนี ผบ.ตร.ยันทำถูกต้องตามยุทธวิธี อ้างประชาชนไม่ชินจับพระ

    ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม นายกฤช กระแสร์ทิพย์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวถึงกรณีการควบคุมตัวอดีตพระพุทธะอิสระ หรือนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ อายุ 59 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย และอดีตแกนนำ กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีอั้งยี่ซ่องโจร และคดีปลอมพระปรมาภิไธย หลังถูกนำตัวมาฝากขังผลัดแรกเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้รับตัวนายสุวิทย์มาแล้ว เบื้องต้นเจ้าตัวระบุว่ามีโรคประจำตัวเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก กระดูกสันหลังทับเส้นประสาท หรือหมอนรองกระดูก และดวงตาข้างขวามีปัญหามานานแล้ว ซึ่งจะให้นายสุวิทย์ได้พบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการทั้งหมดอีกครั้ง ขณะที่พบว่านายสุวิทย์ไม่มีอาการกังวล เหมือนกับได้เตรียมใจมาบ้างแล้ว
    ส่วนกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำด้วยนั้น ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เรือนจำคอยดูแลอยู่แล้ว และถึงแม้จะอยู่แดนเดียวกับนายจตุพร แต่จัดให้นอนคนละห้อง และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ทั้งคู่ได้เผชิญหน้ากัน
    ด้านนายธีรยุทธ สุวรรณเกสร ทีมทนายความอดีตหลวงปู่พุทธะอิสระ เปิดเผยหลังการเข้าเยี่ยมว่า อดีตหลวงปู่พุทธะอิสระจะยังไม่ขอยื่นประกันตัวในขณะนี้ แต่จะขอยื่นประกันตัวในชั้นอัยการ เบื้องต้นจะเตรียมหลักทรัพย์เท่าเดิมคือ 150,000 บาท ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ตามที่เหมาะสมกับอัตราโทษ ส่วนคดีทำร้ายร่างกายตำรวจสันติบาล 2 นายที่บาดเจ็บสาหัส เจ้าตัวให้การปฏิเสธและขอต่อสู้ในชั้นศาล ส่วนคดีแอบอ้างปลอมแปลงใช้พระปรมาภิไธย เบื้องต้นให้การรับสารภาพว่ามีการนำไปใช้จริง แต่ไม่มีเจตนาลบหลู่และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หลังจากนี้จะหารือในรายละเอียดว่าจะชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลอีกครั้ง
    นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา (สปช.) กล่าวว่า จากการเข้าไปสังเกตพบว่าอดีตหลวงปู่พุทธะอิสระยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ส่วนเรื่องโรคประจำตัว เบื้องต้นประสานให้ลูกศิษย์ได้แจ้งอาการป่วยและนำยามาฝากไว้ที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์แล้ว พร้อมฝากบอกลูกศิษย์และผู้เลื่อมใสศรัทธาว่าไม่ต้องเป็นกังวล
    ส่วนเหตุการณ์ที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามเข้าไปจับกุมภายในกุฏินั้น พิจารณาแล้วว่าเป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีเจตนาเอาผิดกับตำรวจชุดจับกุม ซึ่งอาจทำให้พระพุทธศาสนาเกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดี อย่างไรก็ตาม ในการประกอบพิธีลาสิกขาเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา อดีตหลวงปู่พุทธะอิสระไม่ได้เปล่งวาจาลาสิกขาออกมาแต่อย่างใด ดังนั้นในทางพระธรรมวินัย จึงไม่ถือว่าขาดจากการเป็นพระ แต่ในทางกฎหมายต้องยอมรับ
    นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "เป็นพระอยู่ที่ไหนก็เป็นพระ ตราบใดที่ยังครองศีลแห่งพระอริยเจ้า ถึงนุ่งขาวก็ยังเป็นพระ สมาธิอันอบรมดีแล้วจะไม่หวั่นไหวในธรรมทั้งปวง ดูกันต่อไปดีกว่าอย่าใจร้อนนะญาติโยม"
    นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษา นปช.  กล่าวผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ตอนหนึ่งว่า ในช่วงสายได้เข้าไปเยี่ยมนายจตุพร ซึ่งอารมณ์ดีเหมือนเช่นทุกวัน ได้สอบถามว่าเป็นอย่างไร นายจตุพรบอกว่าอยู่ห้องติดๆ กัน อดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่อยู่ห้องหนึ่ง นายจตุพรอยู่ห้องหนึ่ง อดีตพระพุทธะอิสระอยู่อีกห้องหนึ่ง นายจตุพรเล่าว่าเมื่อเช้าได้นำของไปถวายเพราะเป็นอดีตพระมาหมาดๆ ในฐานะที่เรียกว่าเป็นซีเนียร์คงจะมีข้าวของอะไรที่ถวายได้ ซึ่งนายจตุพรไม่ได้เล่าอะไรมาก บอกว่าเขาคงอยู่ในระหว่างการปรับตัว ทั้งนี้ ทราบมาจากเจ้าหน้าที่ว่าเขาต้องคอยดูแลทั้งคนที่มาเยี่ยมและคนข้างในที่นั่งสมาธิกันตลอด เพราะคงไม่ชินกับสภาพในเรือนจำ เชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในเรือนจำคงไม่มีทะเลาะเบาะแว้ง เพราะมีความทุกข์เหมือนกัน 
สับเละตร.ทำเกินกว่าเหตุ
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ ที่บุกเข้าไปจับตัวหลวงปู่พุทธะอิสระที่ค่อนข้างเกินกว่าเหตุหรือไม่ ภายหลังมีการปล่อยคลิปในช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ ซึ่งนำโดย พ.ต.อ.เด่นหล้า รัตนกิจ ผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ (คอมมานโด) บุกเข้าจับกุมตัวพระพุทธะอิสระ ที่กุฏิของอดีตพระพุทธะอิสระในวัดอ้อน้อย โดยมีการแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจขอให้เปิดประตูเพื่อมาจับบุคคลตามหมาย เมื่อไม่มีใครเปิดได้ใช้ค้อนทุบทำลายประตูเข้าไปเจอกับประตูอีกบาน ยังไม่มีใครเปิดออกมา ก็ทุบประตูบุกเข้าไปอีกครั้ง จนกระทั่งเจอตัวอดีตพระพุทธะอิสระที่อยู่ในมุ้งสีขาว พร้อมตะโกนขอให้หมอบลง พร้อมเคลียร์ห้องน้ำและตามจุดต่างๆ ก่อนนำหมายจับมาแสดงและแจ้งข้อกล่าวหา
    นายอิสสระ สมชัย อดีตแกนนำกลุ่ม กปปส. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “เห็นการปฏิบัติการตามหมายจับของตำรวจกองปราบฯ ในคลิปแล้วรู้สึกเศร้าสลดใจมากครับ โดยปฏิบัติการเริ่มตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ขึ้นของวันที่ 24 พ.ค.2561 ตำรวจกองปราบฯ เป็นกองร้อยพร้อมอาวุธร้ายแรงบุกเข้าไปถึงกุฏิชั้นเดียวของพระพุทธะอิสระ แล้วใช้เครื่องมือทำลายกุญแจประตูกุฏิ บุกเข้าตลบมุ้งประชิดตัวประทับปืนเล็งไปที่พระพุทธะอิสระที่กำลังนอนหลับอยู่ในมุ้ง แล้วบังคับให้ท่านลุกออกมาจากที่นอน แล้วอ่านหมายจับให้ท่านฟังในขณะที่ท่านนุ่งผ้าสบง ผ้าอังสะยังไม่เสร็จเลย เสร็จแล้วควบคุมตัวท่านขึ้นรถตำรวจกองปราบฯ ไป ดูตามคลิปแล้วเศร้าสลดใจกับการปฏิบัติการของตำรวจมาก ทำราวกับว่าพระพุทธะอิสระเป็นโจรผู้ร้ายคดีก่อการร้ายหรือเป็นโจรคดีปล้นฆ่า เก่งกาจขนาดนี้ทำไมยังจับพระธัมมชโยแห่งวัดธรรมกายไม่ได้จนถึงทุกวันนี้"
    นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีฯ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า คดีของหลวงปู่พุทธะอิสระ ผิดถูกศาลจะตัดสิน และยังต้องไต่สวนข้อเท็จจริงกันอีกนาน ให้กระบวนการยุติธรรมตัดสิน แต่การที่เจ้าหน้าที่บุกทุบประตู 2 ชั้น กรูไปเข้าไปล้อมจับเอาปืนจี้คาเตียงบังคับขู่เข็ญสารพัด พร้อมทั้งถ่ายคลิปเอามาเผยแพร่ต่อ เหมือนระบายเพื่อความสะใจ เพื่อให้หลวงปู่อับอาย เจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ทำเกินไป และเข้าข่ายบกพร่องในความเที่ยงธรรม ในฐานะผู้รักษากฎหมาย ทั้งที่หลวงปู่ก็อยู่วัดไม่หลบหนีไปไหน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี ควรพิจารณาสอบพฤติกรรมเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ นี่ขนาดคนเป็นพระ มีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก ถ้าเป็นขาวบ้านหาเช้ากินค่ำจะขนาดไหน
    “ทิ้งท้ายให้คิดครับ คนที่น่าอับอายในงานนี้ไม่ใช่หลวงปู่ครับ แต่คือตำรวจเองนั่นละครับ น่าอับอายเสียเอง และที่น่าอับอายกว่าคือแห่กันไปจับพระที่โกงเงินประชาชน แต่พระไหวตัวหลบหนีหายเข้ากลีบเมฆซะงั้น” นายสุริยะใสระบุ
    นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อว่า “การดำเนินคดีกับพระภิกษุในพระพุทธศาสนา” ว่า ไม่ค่อยสบายใจกับวิธีการของเจ้าหน้าที่รัฐในการดำเนินคดีกับพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ค่อนข้างบาดใจบุคคลผู้นับถือพระพุทธศาสนา อย่าได้คิดว่าพระเป็นผู้มีรสนิยมทางการเมืองเป็นเหลือง-เป็นแดง จึงกระทำต่อพระอย่างนั้น แต่จงคิดว่าพระเป็นทายาทของพระพุทธองค์ผู้สืบต่อพระพุทธศาสนา ท่าทีของรัฐต่อเรื่องนี้จึงมีความสำคัญ หากรัฐกำหนดท่าทีไม่ถูกต้อง แทนที่จะเป็นการสืบต่อพระพุทธศาสนา กลับเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยความเขลาของรัฐเสียเอง  
    นายกนก รัตน์วงศ์สกุล ผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์ข้อความลงใน Kanok Ratwongsakul Fan Page ตอนหนึ่งว่า ขอสอบถาม พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองปราบฯ หรือถามลอยๆ ไปถึงคนที่รับผิดชอบทุกระดับที่คุมกำลังไปวัดอ้อน้อย ภายใต้ปฏิบัติการฟ้าสางลุยล้างดงขมิ้น ทำไมมีการจับกุม 2 มาตรฐาน ไม่เหมือนกับชุดที่ไปวัดสระเกศ วัดสามพระยา วัดสัมพันธวงศาราม ไม่ได้อยากเห็นภาพการจู่โจมดุดัน หยาบถ่อยกับหลวงปู่ เกิดกับอีก 3 วัด เพียงแต่สงสัยว่า ทำไมต้องใช้รูปแบบกระโชกโฮกฮากกับหลวงปู่ เพราะไม่มีลูกศิษย์หลวงปู่ขัดขวางแม้แต่คนเดียว ไม่มีเสียงหมาวัดสักตัวเห่าด้วยซ้ำ 
    นอกจากนี้ คลิปจับหลวงปู่หลุดออกมาได้อย่างไร เมื่อเจ้าหน้าที่เป็นคนบันทึก สงสัยว่าเจตนาปล่อยออกมาเพื่ออะไรหรือไม่ หรือเพื่อให้ฝ่ายไหนดู และทำไมต้องจู่โจมจับหลวงปู่ ในคราวเดียวกันกับแก๊งโล้นโกงเงินวัด หรือต้องการให้ภาพดูอลังการ ทั้งนี้ ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นความลับสุดยอด แต่ทำไมพระผู้ต้องหาหนีหายไป 2 ราย ล่าสุดมีข่าวว่าเจ้าคุณธงชัยไปโผล่ที่สิงคโปร์แล้ว ไม่ต้องแก้เกี้ยวว่ามีประตูลับที่วัดสระเกศฯ จุดอยู่ที่ว่าปฏิบัติการฟ้าสางล้างดงขมิ้นครั้งนี้ มันผู้ใดบอกให้ขมิ้นรู้
ยันถูกต้องอ้างไม่ชินจับพระ
    ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ชี้แจงว่า การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการถูกต้อง เป็นไปตามยุทธวิธี ซึ่งประชาชนอาจยังไม่ชินกับการจับพระ จึงกระทบความรู้สึกของพี่น้องประชาชนบ้าง เพราะเป็นการดำเนินการกับพระ แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าพระสงฆ์ก็มีทั้งพระดีและพระไม่ดี การปฏิบัติการของตำรวจต้องระมัดระวังตัวเอง การดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอน เหมือนกรณีการจับกุมเสก โลโซ และ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้เลือกปฏิบัติ แค่ประชาชนไม่ชินกับการควบคุมตัวหรือดำเนินการกับพระเท่านั้น อย่างไรก็ตาม คดีนี้ไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย
    พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) กล่าวว่า ตำรวจให้เกียรติในฐานะที่ครองจีวร บางทีการทำงานต้องระมัดระวัง เจ้าหน้าที่ต้องระวังตัวด้วย ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของทุกฝ่าย อาจมีสถานการณ์แทรกซ้อน อาจมีใครทำอะไรในสถานที่นั้นก็ได้ ไม่มีใครอยากให้เกิดการเจ็บการตายจากการปฏิบัติหน้าที่ หากมีกระสุนสักลูกโผล่มา ต้องมานั่งไล่เรียงกันอีกว่ามาจากใคร จากเจ้าหน้าที่หรือไม่
    “ที่ผ่านมาอดีตพระคนนี้ไปไหนมาไหน มีการ์ด มีคนคุ้มกันมากมาย เจ้าหน้าที่ก็ต้องระวัง ประกอบกับช่วงปฏิบัติการเป็นช่วงเช้ามืด สถานที่ก็กว้างและในทางยุทธวิธี จุดที่เข้าไปเป็นพื้นที่ที่สถาปนาโดยฝ่ายตรงข้าม เราหมายถึงเจ้าหน้าที่ไม่คุ้นชิน ไม่รู้ว่ามีใครอยู่ตรงไหนอย่างไร ก็ต้องยกกำลังไปเพื่อความปลอดภัย แต่สุดท้ายภารกิจก็ลุล่วงไม่มีการสูญเสียใดๆ อาจไม่ถูกใจใครบางคน แต่ก็ขอให้เข้าใจเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย หากมีการเจ็บการตายเกิดขึ้น เรื่องราวก็จะไม่ง่ายอย่างนี้ ยอมรับว่าผมไม่สามารถอธิบายยุทธวิธีให้ทุกคนทราบได้ มันเป็นหลักของความปลอดภัยทั้งต่อเป้าหมายและต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เรื่องนี้ถูกยุทธวิธี แต่อาจไม่ถูกใจ” ผบช.ก. ระบุ
    พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ทุกคนรวมทั้งตนรู้สึกเสียใจ เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น อยากให้สังคมเรียนรู้ว่า ไม่ว่าใครก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่ว่าจะการเมืองหรือศาสนา ต้องทำตามกฎหมายทุกคน สำหรับที่ปรากฏภาพถ่ายนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และตนร่วมกับอดีตพระพุทธะอิสระในงานพิธีสงฆ์แห่งหนึ่งนั้น เหตุการณ์เกิดขึ้นนานมากแล้ว เป็นช่วงที่ตนเกษียณอายุราชการแล้ว ไม่ควรนำภาพดังกล่าวมาเชื่อมโยงกับคดีที่เกิดขึ้น ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่าใกล้ชิดกับอดีตพระพุทธะอิสระนั้น แล้วรัฐบาลไหนจับ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"