การปูพรม "ปฏิบัติการฟ้าสางที่ลานวัด" ของกองปราบปราม ด้วยการเข้าตรวจค้นและจับกุมพระผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับคดีเงินทอนวัดใน 3 วัดดังเมื่อวันที่ 24 พ.ค. ถือเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญของวงการสงฆ์เมืองไทย
เพราะนี่เป็นครั้งแรก ครั้งใหญ่ ที่มีการเข้าตรวจค้นวัดดังพร้อมๆ กันถึง 3 วัด ซึ่งมีพระราชาคณะในตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) จำวัดอยู่ ประกอบด้วยวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดสามพระยาวรวิหาร และวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร
ในอดีตอาจเคยเกิดขึ้น แต่การเกิดพร้อมกันถือเป็น เรื่องใหญ่ ที่สำคัญปฏิบัติการครั้งนี้ เร็ว และ แรง ชนิดที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
กองปราบปรามใช้เวลาแค่วันเดียว ตรวจค้น-จับกุม-ฝากขัง-คัดค้านการประกันตัว ขณะที่ศาลไม่ให้ประกันตัว เป็นเหตุให้ พระเถระ ต้องสละสมณเพศ หรือ สึก ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2535 ที่ระบุไว้ชัด
“พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวและเจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัดไม่รับมอบตัวไว้ควบคุม หรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม หรือพระภิกษุรูปนั้นมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่ง ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้"
ถ้าเป็นพระภิกษุทั่วไป การถูก จับสึก ลักษณะนี้อาจเป็นเรื่องทั่วไปที่พบเห็นกันบ่อย แต่สำหรับพระผู้ใหญ่ใน มส. ถือว่าเป็นเรื่องระดับประเทศ
เพราะกรรมการ มส.มีศักดิ์คล้ายกับคณะรัฐมนตรีในทางโลก การจับสึก รัฐมนตรีสงฆ์ ที่ถ้า 2 พระพรหม คือ พระพรหมสิทธิ หรือ เจ้าคุณธงชัย เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ และ พระพรหมเมธี หรือ เจ้าคุณจำนงค์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันวงศารามฯ ไม่หลบหนี
อาจไม่ได้มีแค่พระพรหมดิลก หรือ เจ้าคุณเอื้อน เจ้าอาวาสวัดสามพระยาวรวิหาร และกรรมการ มส.เท่านั้นที่ถูก จับสึก แต่จะมีรัฐมนตรีสงฆ์ถึง 3 รูปที่อาจต้องลงเอยแบบนั้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบ วันเดียวจบ นอกเหนือจากกรณีเงินทอนวัด ยังรวมถึงกรณี จับสึกอดีตพระพุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ในคดีอั้งยี่ซ่องโจรและปลอมพระปรมาภิไธย น่าจะเป็นสัญญาณบางอย่างว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับวงการสงฆ์ของประเทศไทย
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอนที่กองปราบปรามจะตรวจค้นพระสงฆ์ที่พัวพันคดี แต่เป็นคนละคดีในวันเดียวกัน แล้วลงท้ายด้วยการ จับสึก จากกรณีศาลไม่ให้ประกันตัว
เป็นเหมือนความตั้งใจที่จะแสดงให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นการ ชำระล้าง สิ่งไม่ดีไม่งามในพุทธศาสนา โดยไม่เลือกปฏิบัติว่าเป็นใครหรือฝ่ายไหน
และให้เห็นว่าไม่ว่าจะต้องคดีทุจริตหรือคดีอาญาใดๆ ก็ตามที่เป็นที่ติฉินนินทาของโลก แม้จะยังครอง สมณเพศ ก็จะได้รับการปฏิบัติที่เสมอเหมือนกัน
ถ้ามองในภาพรวม เหตุการณ์ วันกรุแตก ไม่ต่างอะไรจาก จุดเริ่มต้น ของการ ปฏิรูป วงการพระพุทธศาสนา เพราะแม้แต่พระผู้ใหญ่ระดับกรรมการ มส. หรือพระที่มีชื่อเสียงในประเทศ ก็ยังไม่ได้รับการละเว้นหรือเกรงใจถ้า ต้องคดี
มันเป็นเหมือนการเริ่มจาก ยอดภูเขาน้ำแข็ง ลงไปสู่สิ่งที่หมักหมมที่อยู่ลึกลงไปเพื่อฟื้นคืน ความศรัทธา เพราะต้องยอมรับว่ารายละเอียดปลีกย่อยของความเสื่อมในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้มีปัญหาเฉพาะที่ตัวบุคคล แต่มีเรื่องเงินทองเข้ามาข้องเกี่ยวเป็นหลัก เนื่องจากช่องว่างทางกฎหมายเปิดให้มีการ ทุจริต
เช่นเดียวกับโครงสร้างการบริหารของคณะสงฆ์ที่ต้องยอมรับว่า จำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้การเผยแผ่ ทะนุบำรุงศาสนา ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตามไทม์ไลน์ที่มีวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปฐมบทเรื่องเงินทอนวัด สู่การจับกุมเจ้าหน้าที่ พศ. เรื่อยมาถึงการจับสึก พระเถระ มันเป็นสัญญาณกลายๆ ให้เห็นว่าต้องมี บันได ขั้นต่อไปในการกู้ศรัทธา ไม่จบเพียงเท่านี้
โดยเฉพาะตัวบทกฎหมายอย่าง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ที่แว่วดังว่าอาจต้องมีการปรับปรุงแก้ไขกันขนานใหญ่เป็นขั้นต่อไป
นอกจากนี้ ปฏิบัติการปูพรมรอบนี้ยังไม่ต่างอะไรจากการลงมือทำความสะอาดประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันสำคัญทางพุทธศาสนาที่กำลังมาถึง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |