'นักเศรษฐศาสตร์' เตือน ประชานิยม 30 บาทรักษาทุกโรค กำลังจะ 'ฆ่า' ระบบสาธารณสุข

18 ธ.ค.2567-รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ ประชานิยม 30 บาทรักษาทุกโรค กำลังจะ “ฆ่า” ระบบสาธารณสุขไทย มีเนื้อหาดังนี้

นโยบายนี้เกิดขึ้นในยุคแรกที่ทำให้ทักษิณสามารถเอามาหาเสียงจนชนะเลือกตั้งได้ สส.เสียงข้างมากประมาณ 200 คนเข้าสภาในราวปี พ.ศ. 2544
ให้หลังอีกเพียง 20 ปี ใครเล่าจะคิดว่ามันได้พิสูจน์แล้วว่ากำลังจะทำให้ระบบสาธารณสุขไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลไม่ว่าจะของรัฐหรือเอกชน “ตาย” เพราะมีรายจ่ายสูงกว่ารายรับเมื่อทำโครงการนี้
อธิบายอย่างง่าย ๆ ก็คือ ประชาชนผู้มีสิทธิในนโยบายนี้ร่วมจ่ายเพียง 30 บาทหรือไม่ได้จ่ายเลยก็ว่าได้เพื่อรักษาโรค มันถูกกว่าก๋วยเตี๋ยว 1 ชามเสียอีก
การเข้าถึงบริการสาธารณสุขเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่รัฐพึงกระทำ แต่โลกนี้ไม่มีของฟรี หากให้รัฐเป็นผู้จ่ายค่ารักษาพยาบาลจากเงินภาษีเพียงลำพัง นโยบายนี้มันก็ไปไม่รอดเพราะรัฐบาลไทยจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายเพื่อให้คนได้ใช้ฟรีได้?
ดังนั้นแนวคิดของฝ่ายสนับสนุนที่พยายามจะทำให้ “เงิน” ไม่เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ (หรืออีกนัยหนึ่งคือรักษาฟรีเช่น 30 บาท) จึงไม่ใช่แนวคิดที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น เพราะลืมไปหรืออย่างไรว่าไปหาหมอนั้นมีค่าใช้จ่ายและต้องมีใครสักเป็นคนจ่าย หรืออีกแนวคิดหนึ่งที่เมื่อตั้งงบฯไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายก็ต้องไปหาเพิ่มมา
ทำไมไม่หันกลับมาคิดบ้างว่าสุขภาพเป็นประโยชน์ส่วนบุคคลด้วยเช่นกันมิใช่ประโยชน์ของสังคมส่วนรวมแต่เพียงลำพัง ถ้าตนเองไม่รู้จัก “ออม” เผื่อค่าใช้จ่ายส่วนนี้เอาไว้แล้วจะ “หน้าไม่อาย” ผลักภาระนี้ไปให้ใครรับผิดชอบ?
ปีที่ผ่านมารัฐไทยต้องใช้เงินภาษีกว่า 1.46 แสนล้านบาทจากงบประมาณแผ่นดินเพียงลำพังเพื่อประชาชนที่ถือ “บัตรทอง” ประมาณ 47 ล้านคนเศษได้ใช้บริการฟรีนี้
งบฯนี้เพิ่มขึ้นทุกปีและเพิ่มมากกว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP growth เสียอีก ไม่ได้คิดเลยหรือไม่ว่าใน 47 ล้านคนนี้สามารถจ่ายได้กี่คน ทำไมต้องฟรีหมดไม่คิดจะแยกแยะเลยดอกหรืออย่างไร?
แม้ว่าจะใช้งบฯมหาศาลถึงระดับกว่าแสนกว่าล้านบาทในปัจจุบัน แต่ข้อเท็จจริงจากข่าวที่ปรากฏออกมามากขึ้นว่า โครงการนี้กำลังจะล่มสลายทำให้ระบบสาธารณสุข หมอ พยาบาล บุคลากร และโรงพยาบาล ต้องทำงานเกินกว่าขีดความสามารถ
ของฟรีมันทำให้มีความต้องการสูงเพราะใช้อย่างทิ้งขว้าง ทำให้คนไม่มุ่งป้องกันแต่มุ่งจะรักษาซึ่งอย่างหลังมันยุ่งยากและแพงกว่าอย่างแรกมาก
สิทธิ 30 บาท(หรือ บัตรทอง) ต่างจากสิทธิประกันสังคมเพราะผู้มีสิทธิ 30 บาทส่วนใหญ่ไม่ได้เสียภาษีและไม่ต้องร่วมจ่าย แต่ดันมีสิทธิประโยชน์เหนือกว่าสิทธิประกันสังคมที่ทั้งต้องเสียภาษีและร่วมจ่ายเสียอีก มันสร้างความเท่าเทียมกันตรงที่ใด?
นักการเมืองจึงใช้นโยบายนี้หาเสียงเหมือนเทพเจ้ามาโปรดว่าเลือกเราแล้วท่านจะได้บริการรักษาทุกโรคฟรี สมประโยชน์กับผู้มีสิทธิ 30 บาทที่ส่วนใหญ่ไม่เสียภาษี ส่วนผู้เสียภาษีและร่วมจ่าย เช่น สิทธิประกันสังคม สิทธิข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ กลายเป็นคนกลุ่มน้อยที่ต้องอุ้มผู้มีสิทธิ 30 บาท
รวมไปถึงแรงงานต่างด้าวที่มาทำงานและสามารถ “ซื้อ” ประกันสุขภาพในราคาคนไทย(ประกันสังคม) ที่ไม่มีประเทศใดในโลกทำตัวเป็นม้าอารีเช่นนี้ดอก ห้องคลอดโรงพยาบาลไทยจึงกลายเป็นสถานที่ที่ใช้ภาษาต่างด้าว เช่น เมียนมา ได้อย่างไม่ขัดเขิน คลอดลูกในไทยจึง “ถูกและดี” ลูกที่เกิดมาได้สัญชาติไทยแถมอีกด้วย
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนเสียภาษีต้องออกมาเรียกร้อง “ไม่ยื่นแบบ ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง” เพื่อแก้ไขระบบสาธารณสุขที่ต้นตอ ไม่ให้นักการเมืองใช้นโยบายประชานิยมมาหาเสียงเข้าสภา เพื่อทำให้โรงพยาบาลไทยกลับมาเป็นของคนไทยโดยไม่ขาดทุนย่อยยับป่นปี้ไปเสียก่อน
~ สุวินัย ภรณวลัย และ เรียวมะ เซ็นเซ
********
ระเบิดเวลาของระบบการดูแลสุขภาพกำลังระเบิดทีละลูก
//////
ระบบประกันสุขภาพไทย รวมถึงหลาย ๆ สวัสดิการของเราจะพังเป็นโดมิโนในอีกไม่กี่ปีถัดจากนี้
ผมสรุปปัญหาให้เป็นเรื่อง ๆ
1. เราเผาเงินกับการสาธารณสุขจำนวนมหาศาล จากนโยบายประชานิยมที่เทเอาใจฐานเสียง
2. โรค NCDs รวมถึงมะเร็ง และอุบัติเหตุพุ่งสูงมากกว่าค่าเฉลี่ยประเทศอื่นในโลก ซึ่งเกิดจากพฤติกรรม และความประมาทในการใช้ชีวิตของคนไทย
3. ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่ประชาชนเบิกยาง่ายที่สุด ในขณะที่เมืองนอกจะมีขั้นตอนมากมายกว่าไทยมาก
4. 30 บาทรักษาทุกโรคที่ “เบิกง่าย” จึงก่อปัญหา 3 ขา
> ขาแรก ตามใจประชาชนจนไม่กลัวป่วย อุบัติเหตุด้วยความประมาท ยันโรค NCDs ที่พุ่งเพราะพฤติกรรม ล้วนต่างเกิดจาก “ความง่าย” ในการเข้าถึงการรักษา แทนที่จะ focus มาช่วยคนในโรคหนัก
> ขาสอง การเบิกง่าย กลายเป็นผลประโยชน์ยามหาศาล ยิ่งให้ง่าย ยาก็ต้องใช้เยอะ เอกชน (นักการเมือง & ข้าราชการ) รวย รัฐจน
> ขาสาม บุคลากรสาธารณสุข “เหนื่อยตาย” เพราะต้องดูแลระบบประชานิยมแบบผิด ๆ ในค่าตอบแทนที่แสนต่ำ
........
ในขณะที่นักการเมืองประเคนนโยบายสาธารณสุขเอาใจประชาชนด้วยงบมหาศาล กลับสวนทางกับ
1. การคอร์รัปชั่นที่พุ่งสูงตั้งแต่ปี 2563 จนปัจจุบันนับแล้วเงินคอร์รัปชั่น “รวม ๆ กันทุกกระทรวง” หายไปเป็น “แสนล้าน” เป็นภาระการคลังอย่างรุนแรง
2. เศรษฐกิจตกต่ำ และยังไม่เห็นทางออก ดังจะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2563 ไทยไม่มีนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างเลย เมื่อเศรษฐกิจตก ภาษีจึงไม่พอค่าใช้จ่าย จึงมีแต่นโยบายใช้เงิน แต่รายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย
3. ไม่มีใครกล้าแตะ “VAT” ที่ต่ำเกือบที่สุดในโลก เมื่อ VAT ต่ำ เงินก็จึงไม่พอค่าใช้จ่าย
........
แล้วจะแก้ยังไง?
1. ผมเคยเสนอระบบ “Progressive” ตามเหตุแห่งปัญหา เช่นอุบัติเหตุโดยประมาท ก็เกิดการ “ร่วมจ่าย”
ส่วนคนสูบบุหรี่ กินเหล้า ต้องไม่ได้รับระบบ 30 บาท โดยต้องจ่ายครั้งละ 100-250 บาทต่อการให้บริการ
และระบบ Progressive ที่เอามาแทน 30 บาท ต้องใช้ร่วมกับ Copay ในอีกหลาย ๆ กรณีด้วย
2. กระทรวงสาธารณสุขต้องจับมือกระทรวงศึกษา ปรับหลักสูตร “วิชาสุขศึกษา” ไม่ให้เป็น “วิชาของแถม” บนหลักสูตรผิด ๆ อีกต่อไป เช่น พอกันทีกับการกิน 5 หมู่ แล้วจบ แต่ต้องสอนเชิงป้องกันให้มาก ให้เห็นประโยชน์ โทษที่จับต้องได้ เพื่อลด NCDs ต่าง ๆ รวมถึงโรคหัวใจ พยาธิ และมะเร็ง
3. ประชาชนต้องหันมาตั้งรับ เข้าใจการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ไม่ใช่กินตามใจปาก มีพฤติกรรมเสี่ยง ทั้งกินน้ำตาลสูงจนเบาหวานพุ่ง สนุกกับกินซอยจุ๊ดิบ ๆ จนเป็นมะเร็งพุ่ง กินเหล้าหัวราน้ำได้ แต่จ่ายเวลาเป็นมะเร็งไม่ไหว
4. เพิ่มภาษีบาปในกลุ่มเหล้า น้ำตาล ของเค็ม และ social media
5. ลดภาษีสินค้ากลุ่มสุขภาพ เช่นอาหารปลอดภัย อาหาร organic เครื่องกีฬา
6. ประชาชนต้องลดความฟุ่มเฟือย และหันมาเข้าใจการทำประกันสุขภาพ ไม่ใช่มีเงินซื้อรถอวด แต่ไปล้มละลายเพราะค่ารักษาพยาบาล
.........
เชื่อผม ระบบประกันสุขภาพ มันเป็นโดมิโนตัวแรกที่เริ่มล้ม
ด่าภาครัฐทุกวันตลอด 7 วันมันไม่ยาก แต่ถ้าฉลาดคิด ต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน
~ Pongprom Yamarat
*******
จากภาพประกอบ : เปรียบเทียบน้ำหนัก 113 กิโลกรัม กับ 56 กิโลกรัม
เหลือง ๆ คือไขมัน ที่หุ้มหัวใจ ตับ และอวัยวะภายใน
เฉพาะลำตัวน่าจะมีไขมันกว่า 5 กิโลกรัมขึ้นไปแน่ ๆ ที่แบกอยู่
มันไม่ใช่แค่เรื่องความอ้วนผอมหรือรูปลักษณ์
แต่มันคือความอันตรายจากไขมันที่อุดตันอยู่ในเส้นเลือด
การคุมน้ำหนักตัวผ่านการคุมอาหารด้วยการทานอาหารแบบ IF ที่ลดแป้ง น้ำตาลและไม่ทานมื้อเย็นจึงเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับการมีสุขภาพที่แข็งแรงตราบสิ้นอายุขัย
ท่ามกลางวิกฤตสาธารณสุขไทยที่กำลังจะล่มสลายเพราะนโยบายประชานิยม การดูแลตนเองและพึ่งตนเองทางด้านสุขภาพ โดยไม่ตามใจปากเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง
ด้วยความปรารถนาดี
~ สุวินัย ภรณวลัย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯอิ๊งค์ขายฝันประชานิยมปี 2568 แจกเงินหมื่น-ผ่อนบ้าน 4 พัน-ล้วงเงินหวยส่งเด็กเรียนนอก

'นายกฯอิ๊งค์' ร่ายยาวผลงานรัฐบาล 90 วัน เปิดอนาคตปี 68 ครอบคลุมทุกมิติ มาแน่ปีหน้าเงินหมื่นเฟส 2-3 จัดบ้านเพื่อคนไทยผ่อน 4 พันไม่ต้องดาวน์ ผุดไอเดียดึงงบกองสลากส่งเด็กไทยเรียนเมืองนอก คืนชีพ 1 อำเภอ 1 ทุน

ชำแหละ! ระบบภาษีไทย 4 ล้านคนจ่ายภาษีเงินได้เลี้ยง 60 ล้านคนที่เชื่อว่าตัวเองไม่ควรต้องจ่าย

เพจ สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา โพสต์ข้อความถึงกรณีกระทรวงการคลัง โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีแนวคิดจะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 10 – 15% ว่า

'นักเศรษฐศาสตร์' เปิดสูตรคณิตศาสตร์แชร์ลูกโซ่ ทะลุหมื่นล้าน 'หัวหน้าบอส' ฮุบไป2พันล้าน

ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า

นักเศรษฐศาสตร์ เตือนเตรียมรับมือ 'วิกฤตฐานราก' ที่จะหนักกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540

ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก มีเนื้อหาดังนี้

'นิพิฏฐ์' แนะเอาตัวให้รอด จากการเมืองใหม่ที่ไม่เห็นอนาคต กับการเมืองเก่าประชานิยมซื้อเสียงไปวันๆ

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ทนายความ อดีตส.ส.พัทลุง โพสต์ข้อความหัวข้อ "เอาตัวให้รอด" มีรายละเอียดดังนี้