![](https://storage-wp.thaipost.net/2021/12/3AA82CCD-D49A-4C59-BB25-20462EEA7533.jpg)
ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับ เพราะเป็นการบริการด้านสุขภาพของรัฐที่ให้ความเป็นธรรมกับประชาชนทุกส่วน ทุกคนในสังคมควรได้รับการประกันสุขภาพอย่างเท่าเทียมกันบนหลักการสำคัญที่ว่า บริการที่จำเป็นด้านสุขภาพเป็นของทุกคน
อย่างไรดี ในทางปฎิบัติ ยังมีปัญหาในการดำเนินการในโครงการนี้เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในคนบางกลุ่ม ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึง กลุ่มผู้ที่มีความพิการทางสติปัญญา ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะคนผู้พิการทางสติปัญญามีปัญหาทางสุขภาพมากกว่าคนทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น คนกลุ่มที่มีความพิการทางสติปัญญานี้มีโอกาสที่จะเสียชีวิตก่อนอายุ 50 ปีมากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า มีโอกาสเป็นโรคไขข้ออักเสบมากกว่าคนกลุ่มอื่น 3 เท่า เป็นโรคหัวใจมากกว่า 2 เท่า เบาหวานมากกว่า 5 เท่า
![](https://storage-wp.thaipost.net/2021/12/BEEEC1AC-E6B6-4E02-B438-148EF8680C73.jpg)
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับผู้พิการทางสติปัญญาแล้ว การเข้าถึงการบริการสุขภาพถ้วนหน้ายังเป็นสิ่งที่ยากลำบากกว่าคนทั่วไป ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ใช่แต่ในประเทศไทย แม้ในประเทศที่พัฒนาแล้วก็ตาม ยังมีความไม่เท่าเทียมกันอีกมาก ทั้งนี้เป็นเพราะความพิการทางสติปัญญาทำให้คนกลุ่มนี้มักจะไม่สามารถดูแลเอาใจใส่สุขภาพของตนเองได้อย่างละเอียด บางคนมีปัญหาในการสื่อสารกับบุคลากรทางการแพทย์ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆมากกว่าคนทั่วไป ในหลายกรณีพบว่า กว่าจะตรวจพบปัญหา มักจะอยู่ในระดับที่ร้ายแรงแล้ว
เพื่อการแก้ไขปัญหานี้ ในระดับนานาชาติได้มีความคิดริเริ่มจากองค์กรสเปเชียลโอลิมปิคสากล ให้มีการจัดทำโครงการ Healthy Communities หรือ โครงการชุมชนสุขภาพดี ให้กับผู้พิการทางสติปัญญา เพื่อให้ผู้พิการทางสติปัญญาได้สามารถเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ได้มากขึ้น และยั่งยืนขึ้น โดยหวังว่า โครงการนี้จะทำให้เกิดความเท่าเทียมกันมากขึ้นในการประกันสุขภาพ
ได้มีการเริ่มดำเนินการโครงการชุมชนเพื่อสุขภาพดีนี้ ในปี 2555 ภายใต้องค์กรสเปเชียลลิมปิคสากล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Golisano Foundation หรือ มูลนิธิโกลิซาโน โดยในครั้งแรกมีการทดลองดำเนินการใน 8 ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ที่มีสมาคมกีฬาสเปเชียลโอลิมปิคแห่งประเทศไทยเป็นแกนหลักในการประสานงาน โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะขยายการบริการสุขภาพให้ครอบคลุมถึงผู้พิการทางสติปัญญามากขึ้น มีการนำองค์กรระดับท้องถิ่นมาร่วมมือมากขึ้น และสร้างความตระหนักถึงปัญหาของผู้พิการทางสติปัญญาให้สังคมได้รับรู้มากขึ้น
ในประเทศไทยโครงชุมชนสุขภาพดี เป็นความร่วมมือระหว่าง สเปเชียลโอลิมปิคไทย กับหน่วยงานรัฐ และยูนิเซฟ จัดให้มีระบบการดูแลสุขภาพผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ด้วยการพัฒนาระบบและเครื่องมือในการคัดกรอง และประเมินสุขภาพผู้พิการทางสติปัญญา ซึ่งมีความเฉพาะและแตกต่างจากบุคคลทั่วไป โดยมีเป้าหมายว่า จะให้ระบบการดูแลสุขภาพที่รัฐมีอยู่นั้น ให้บริการสำหรับผู้พิการทางสติปัญญาที่เทียบเท่าหรือดีกว่าคนไข้ทั่วไปที่ไม่พิการ ที่สำคัญคือ ให้บุคลากรสาธารณสุขมีความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลคนไข้ที่พิการทางสติปัญญา ซึ่งรวมถึงการสื่อสาร และให้ความสะดวกสำหรับผู้พิการทางสติปัญญา ได้เข้าถึงบริการทางสาธารณสุข
ในปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ 10 ของการจัดทำโครงการนี้ มีประเทศทั่วโลก 75 ประเทศได้มีการจัดทำโครงการชุนชนสุขภาพดีขึ้น โดยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคมี 17 ประเทศที่เข้าร่วมโครงการ โดยในปีนี้ได้มีการจัดการประชุมเรื่อง Healthy Communities Expo ขึ้นเป็นการประชุมออนไลน์ 2 วันเต็ม มีผู้เข้าร่วมจากภูมิภาคเอเซียแปซิฟิคนี้เป็นส่วนใหญ่ ทั้งผู้บริหารโครงการสเปเชียลโอลิมปิค องค์กรด้านสุขภาพทั้งภาครัฐและเอกชน นักกีฬาและครอบครัว การจัดให้มีงาน Expo นี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงผลกระทบของโครงการชุมชนสุขภาพดี ได้มีการยกย่องผู้มีส่วนร่วมโครงการนี้จากประเทศต่างๆ และให้การศึกษากับผู้ที่สนใจจะหาข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนี้เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ต่อไป สำหรับการประชุมครั้งนี้ได้มีการยกตัวอย่างประเทศไทยหลายครั้ง โดยเฉพาะ Annemarie Hill ซึ่งเป็น Vice President ของ Global Health Operations, Special Olympics International ได้กล่าวชื่นชมประเทศไทยว่า “..เราได้เริ่มโครงการทดลองนี้ในปี 2555 และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในโครงการนำร่องของโครงการชุมชนสุขภาพดี โดย(สเปเชียลโอลิมปิคไทย)ได้มีการตั้งมาตรฐานการทำงานโครงการนี้ไว้สูงมาก และสิ่งที่ทำให้ดิฉันดีใจ คือ ในเวลาต่อมาจนปัจจุบัน ได้มีการรักษามาตรฐานการทำงานที่สูงเช่นนี้ไว้ ในองค์กรสเปเชียลโอลิมปิคต่างๆที่ได้เข้ามาร่วมกับเรา”
ในงาน Expo นี้ประเทศไทยได้รับเกียรติให้นำเสนอ “Best Practices” หรือ แนวทางปฎิบัติที่ดีในการดำเนินโครงการนี้ โดยในประเทศไทยได้ดำเนินการโครงการชุมชนสุขภาพดีในสถานศึกษาเป็นหลัก โดยจัดให้มีการตรวจคัดกรองสุขภาพเป็นประจำทุกปีให้กับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่อยู่ในโรงเรียน โดยใช้บุคคลการทางสาธารณสุขที่ความเป็นมืออาชีพเข้ามาเป็นผู้ดำเนินการหลัก โดยจัดให้มีการคัดกรองสุขภาพในเรื่องต่างๆ รวมถึงการให้การศึกษากับครอบครัวอีกด้วย
คุณรัชนีวรรณ บุลกุล ซึ่งเป็น National Director ของสเปเชียลโอลิมปิคไทย ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จของโครงการนี้มาจากการร่วมมือ 4 องค์กร อันได้แก่ สถาบันราชานุกูล สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรมอนามัย และ ยูนิเซฟประเทศไทย โดยมีการเริ่มทดลองโครงการนี้ใน 6 จังหวัดเพื่อปี 2556 และในปี 2564 ได้ขยายผลไปสู่ 51 จังหวัดในการดำเนินการโครงการชุมชนสุขภาพดีนี้ ซึ่งมีผลต่อนักกีฬามากกว่า 3 หมื่นคน นอกจากนี้ มีการทำวิจัยโดย ดร. เพลิน ประทุมมาศ เพื่อศึกษาถึงผลกระทบของโครงการนี้ ซึ่งรวมถึงข้อแนะนำเพื่อให้มีการจัดทำโครงการแบบยั่งยืน ที่สำคัญโครงการนี้ได้สร้างความตระหนักให้บุคคลากรทางการแพทย์ในเรื่องผู้พิการทางสติปัญญา และได้มีผู้เข้าร่วมโครงการจำนวนมากจากทั้งภาครัฐและเอกชน
นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารขององค์กรขององค์การยูนิเซฟประเทศไทย คุณณัฐฐา กีนะพันธ์ ได้กล่าวถึงการมีส่วนร่วมของยูนิเซฟ โดยการสนับสนุนเงินทุนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี รวมถึงช่วยประสานกับภาครัฐบาล และการจัดให้มีการประเมินโครงการนี้
อนึ่ง ด้วยการที่มีการตระหนักถึงความต้องการบริการสุขภาพของผู้พิการทางสติปัญญาที่แตกต่างกับคนทั่วไป และความเสี่ยงจากการเสียชีวิตจากสถานการณ์โควิด-19 ของคนกลุ่มนี้มีมากกว่าทุกกลุ่ม ทำให้มีการให้ความสำคัญเป็นลำต้นในการให้คนกลุ่มผู้พิการทางสติปัญญาเข้ารับการฉีดวัคซีนก่อน
![](https://storage-wp.thaipost.net/2021/12/4ED46AFB-1E10-4AFD-9EE2-AB41CB2023FC.jpg)
โดยสรุป จากการเก็บข้อมูลจากทั่วโลก พบว่าโครงการชุมชนสุขภาพดีได้ช่วยให้ผู้พิการทางสติปัญญามีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การที่มีการคัดกรองสุขภาพหลากหลายทำให้ลดจำนวนคนไข้ที่ต้องส่งต่อลงไป การเข้าถึงบริการสาธารณสุข จึงถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับครอบครัวและระบบสาธารณสุข การที่เข้าไปดำเนินการแต่แรก (early intervention) และการติดตามอย่างต่อเนื่องที่เหมาะสม จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ทุกคน
เวทีพิจารณ์นโยบายสาธารณะ
ดร. นริศ ชัยสูตร
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
นายกสมาคมกีฬาสเปเชียลโอลิมปิคแห่งประเทศไทย
![](https://storage-wp.thaipost.net/2021/10/มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล.jpg)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สธ.แนะนำ กดจุดบรรเทาอาการ ‘จาม-ไอ-คัดจมูก’ จากโรคภูมิแพ้
แนะนำ 4 จุดช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ จุดที่ช่วยรักษาและป้องกันอาการจาม ไอ หรือ คัดจมูกจากโรคภูมิแพ้ได้
ไขข้อข้องใจ! ความดันสูงกับ 'ความดันกลางคืน' สำคัญอย่างไร
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ความดันสูงและความดันตอนกลางคืนสำคัญอย่างไร
โควิด-19 รายสัปดาห์ ป่วยนอนโรงพยาบาลทะลุหลักพัน เสียชีวิต 3 ราย
ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานเกาะติดยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 14 - 20 กรกฎาคม 2567
อย่าตกใจ! ‘หมอยง’ ชี้พบโรคทางเดินหายใจมาก เป็นโรคประจำฤดูกาล จะเริ่มลดหลังเดือนก.ย.
รคทางเดินหายใจ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กนักเรียน จะพบมากในฤดูฝน ตั้งแต่นักเรียนเปิดเทอม ทั้งโควิด 19 ไข้หวัดใหญ่ และมาเดือนนี้เป็นฤดูกาลของ RSV
โควิดรายสัปดาห์ ป่วยนอนโรงพยาบาล ทะลุหลักพัน เสียชีวิต 5 ราย
ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานเกาะติดยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 7 - 13 กรกฎาคม 2567
8 ปัจจัยที่เอื้อต่อผลสำเร็จ ในการปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิและชุมชน ของระบบสุขภาพไทย
นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ ประธานกรรมการมูลนิธิแพทย์ชนบท เจ้าของรางวัลผู้นำสาธารณสุข มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เผยแพร่บทความเรื่อง 8 ปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จในการปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิและชุมชนของระบบสุขภาพไทย มีเนื้อหาดังนี้