WHO ผวา! ไวรัสพันธุ์ใหม่ ระบาดแทนที่ 'โควิด'

30 มิ.ย. 2566 – ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “ไวรัสแลงยา” หนึ่งในสมาชิกกลุ่มไวรัสเฮนิปา (Langya henipavirus) ที่อาจมาแทนที่โควิด-19

ขณะที่ภัยคุกคามจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ดูเหมือนกำลังจะกลายสภาพเป็นโรคประจำฤดูกาล แต่กลับพบไวรัสกลุ่มใหม่ “เฮนิปา” ที่มีลักษณะการระบาดคล้ายโควิด-19 เข้ามาแทนที่

ดร.เอเรียล ไอแซกส์ และดร.หยู ชาง โลว์ นักวิจัยจาก School of Chemistry and Molecular Biosciences แห่งมหาวิทยาลัย “ควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย” ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยลงในวารสารวิชาการทางการแพทย์ “Nature Communications” ในเดือนมิถุนายน 2566 ชี้ให้เห็นว่ามีความสุ่มเสี่ยงสูงมากที่เชื้อ“ไวรัสแลงยา ในกลุ่มเฮนิปา (Langya henipavirus หรือ LayV,)” ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่น่ากังวล กำลังจะมีการแพร่ระบาดใหญ่ในมนุษย์ แม้ว่าขณะนี้ยังไม่พบการแพร่ระบาดระหว่างคนสู่คนก็ตาม แต่กลับพบการแพร่ระบาดจากสัตว์สู่คนของไวรัสแลงยาถี่ขึ้นเป็นลำดับ และหากมีการกลายพันธุ์เพียงไม่กี่ตำแหน่งบนจีโนมที่ส่งผลให้ส่วนหนามของไวรัสจับกับเซลล์มนุษย์ได้ดีขึ้นจะช่วยให้ไวรัสแลงยาสามารถก้าวข้ามจากสัตว์มาระบาดในหมู่คนได้ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับไวรัสโคโรนา 2019 ในอดีต ศูนย์จีโนมทางการพแพทย์ รพ. รามาธิบดีได้เตรียมพร้อมตรวจสอบรหัสพันธุกรรมอย่างรวดเร็ว (mass array genotyping) เพื่อตรวจจับไวรัสแลงยาดังกล่าวจากสิ่งส่งตรวจแล้ว

องค์การอนามัยโลก และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกคาดคะเนว่า ภัยคุกคามโรคติดเชื้อที่จะระบาดไปทั่วโลก (Pandemic) ครั้งต่อไปต่อมนุษยชาติ นอกเหนือจากไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ หรือไวรัสไข้หวัดนกแล้ว อาจเป็นกลุ่มไวรัสเฮนิปา อันประกอบไปด้วย ไวรัสแลงยา นิปาห์ และเฮนดรา

ไวรัสแลงยาเป็นเชื้อโรคไวรัสติดต่อจากสัตว์มาสู่คน พบครั้งแรกในชาวไร่จำนวน 35 คนในมณฑลซานตงและเหอหนานของประเทศจีน ในปี 2565 ไวรัสแลงยาจัดอยู่ในตระกูล Paramyxoviridae เช่นเดียวกับ “ไวรัสเฮนดรา” และ “ไวรัสนิปาห์” ที่ผู้ติดเชื้อมีอัตราการตายสูงกว่า 70% เป็นไวรัสที่สายจีโนมเป็น “อาร์เอ็นเอ” เมื่อติดเชื้อจะทำให้เกิดไข้และอาการระบบทางเดินหายใจอักเสบรุนแรง และอาจนำไปสู่โรคปอดบวมถึงแก่ชีวิตได้ เช่นเดียวกับโควิด-19

ไวรัสแลงยาพบมีการติดเชื้อในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น มนุษย์ สุนัข แพะ และคาดว่าสัตว์รังโรคดั้งเดิมของมันคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กคล้ายหนู มีปากยาวแหลม (shrews) ยังไม่มีรายงานการเสียชีวิตเนื่องจากไวรัสแลงยาและยังไม่พบว่าไวรัสแลงยาสามารถแพร่เชื้อติดต่อจากคนสู่คน

นักวิจัยเตือนว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ไวรัสแลงยาแพร่ระบาดมาสู่ผู้คน และมันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

ไวรัสตัวนี้ค่อนข้างใหม่ (สำหรับมนุษย์) ที่อาจก่อให้เกิดภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพทั่วโลก และมีความคล้ายคลึงกันอย่างน่ากังวลเช่นเดียวกับไวรัสโคโรนาที่มีการระบาดในมนุษย์ไปทั่วโลก

ดร.เอเรียล ไอแซกส์ และทีมวิจัยได้ค้นพบโครงสร้างของโปรตีนบนหนามของไวรัสที่เรียกว่า “ฟิวชันโปรตีน”

หน้าที่ของฟิวชันโปรตีนคือทำหน้าที่เสมือนเป็นสะพานนำพาไวรัสแลงยาเข้าสู่เซลล์ โดยหลอมรวมผนังหุ้มของไวรัสเข้ากับเยื่อหุ้มเซลล์ของผู้ติดเชื้อ ทำให้ไวรัสสามารถเข้าไปภายในเซลล์และเริ่มการแบ่งตัวภายในเซลล์ติดเชื้อได้

ทีมวิจัยได้ศึกษาโครงสร้างฟิวชันโปรตีนในระดับอะตอม โดยใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็คตรอนไครโอเจนิกของศูนย์จุลทรรศน์และการวิเคราะห์อนุภาคไวรัสของมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย

การเข้าใจโครงสร้างและวิธีการเข้าสู่เซลล์ของไวรัสแลงยา ถือเป็นขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันและยาต้านไวรัสเพื่อการรักษาต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัสแลงยา ไวรัสนิปาห์ และไวรัสเฮนดรา ในตระกูลของ Paramyxoviridae

“ขณะนี้ยังไม่มีการรักษาหรือวัคซีนสำหรับไวรัสกลุ่มนี้ และพวกมันมีศักยภาพสูงที่องค์การอนามัยโลกให้เฝ้าติดตามการระบาดในวงกว้าง”

ศาสตราจารย์ แดเนียล วัตเตอร์สัน (Daniel Watterson) นักวิจัยอาวุโสในโครงการ กล่าวว่า พวกเขาพบว่าโครงสร้างฟิวชันโปรตีนในส่วนหนามของ “ไวรัสแลงยา” นั้นคล้ายคลึงกับ “ไวรัสเฮนดรา” และ “ไวรัสนิปาห์” (ที่มีอันตราย อัตราการตายสูงถึง 70%) แต่มีความแตกต่างกันในแง่ของแอนติเจนทำให้วัคซีนที่พัฒนาต่อไวรัสแลงยาอาจไม่ครอบคลุมป้องกันการติดเชื้อไวรัสเฮนดรา และไวรัสนิปาห์

“ไวรัสเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดโรคร้ายแรงที่มีโอกาสที่จะควบคุมไม่ได้หากเราไม่เตรียมพร้อมอย่างเหมาะสม” ดร. วัตเตอร์สัน กล่าว

“เราได้เห็นว่าโลกไม่ได้เตรียมตัวอย่างไรสำหรับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ดังนั้นเราต้องการเตรียมพร้อมมากกว่านี้สำหรับการระบาดครั้งต่อไปของโรคอุบัติใหม่”

ในตอนนี้ทีมวิจัยเร่งศึกษาส่วนหนามเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนาวัคซีนที่สามารถใช้ฉีดป้องกันไวรัสสายพันธุ์ย่อยได้ทั้งหมด (broad-spectrum vaccine) รวมทั้งการพัฒนายาต้านไวรัสเพื่อการรักษาโรคติดเชื้อไวรัส แลงยา, นิปาห์, และเฮนดรา

งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications
https://www.nature.com/articles/s41467-023-39278-8

หมายเหตุ

ไวรัสแลงยา ตระกูล: Paramyxoviridae สกุล: Henipavirus, การแพร่เชื้อ: สัมผัสกับสัตว์คล้ายหนูขนาดเล็ก (shew), อาการ: อาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น มีไข้ ไอ และอ่อนเพลีย, อัตราการเสียชีวิต: ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต

ไวรัสเฮนดรา ตระกูล: Paramyxoviridae สกุล: Henipavirus, การแพร่เชื้อ: สัมผัสกับของเหลวจากม้าติดเชื้อ มีรังโรคอยู่ในค้างคาว, อาการ: มีไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เวียนศีรษะ, อัตราการเสียชีวิต: 60-75%การระบาดครั้งแรกของไวรัสเฮนดราเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2537 ในเมืองเฮนดรา ชานเมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีม้า 13 ตัวและครูฝึกเสียชีวิต 1 คน

ไวรัสนิปาห์ ตระกูล: Paramyxoviridae สกุล: Henipavirus, การแพร่เชื้อ: สัมผัสกับของเหลวจากค้างคาวหรือหมูที่ติดเชื้อ, อาการ: มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อาเจียน กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลัน, อัตราการเสียชีวิต: 40-75% การระบาดครั้งแรกของไวรัสนิปาห์เกิดขึ้นในมาเลเซียและสิงคโปร์ในปี 2542 ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเกือบ 300 รายและเสียชีวิตมากกว่า 100 ราย มีการบันทึกการระบาดเกือบทุกปีในบางส่วนของเอเชียตั้งแต่นั้นมา ส่วนใหญ่ใน¬¬และอินเดีย

SARS-CoV-2 (โควิด-19) วงศ์ตระกูล: Coronaviridae สกุล: Betacoronavirus, การแพร่เชื้อ: ละอองทางการหายใจ, การสัมผัสใกล้ชิด, อาการ: มีไข้ ไอ หายใจถี่ สูญเสียการรับรสหรือได้กลิ่น, อัตราการเสียชีวิต: แตกต่างกันไปตามอายุและสภาวะสุขภาพพื้นฐาน แต่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1-2% จากรายงานจากองค์การอนามัยโลก และกรมควบคุมโรค สหรัฐอเมริกา

มีรายงานผู้ป่วยโควิด-19 รายแรกในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ในเดือนธันวาคม 2562 ไวรัสแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังส่วนอื่น ๆ ของจีน ซึ่งนำไปสู่การแพร่ระบาดไปทั่วโลก (Pandemic) ตั้งแต่นั้นมา ผู้คนนับล้านทั่วโลกเสียชีวิตจากโควิด-19 โดยมีรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตสูงสุดในสหรัฐอเมริกา บราซิล อินเดีย และเม็กซิโก.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

8 ปัจจัยที่เอื้อต่อผลสำเร็จ ในการปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิและชุมชน ของระบบสุขภาพไทย

นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ ประธานกรรมการมูลนิธิแพทย์ชนบท เจ้าของรางวัลผู้นำสาธารณสุข มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เผยแพร่บทความเรื่อง 8 ปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จในการปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิและชุมชนของระบบสุขภาพไทย มีเนื้อหาดังนี้

จับตา! 'ไข้หวัดนก' ระบาดใหม่ 2 ราย ในกัมพูชา พบเด็กอุ้มซากไก่

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กัมพูชาพบผู้ป่วยไข้หวัดนก H5N1 รายใหม่ 2 ราย ในจังหวัดตาแก้ว

‘หมอมนูญ’ เผยข้อมูลระบาดวิทยา พบ ‘โควิด-ไข้หวัดใหญ่’ ยังแพร่เชื้อต่อเนื่อง

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ยังมีต่อเนื่อง ไวรัสไข้หวัดใหญ่กำลังพุ่งสูงขึ้นตามฤดูกาล เข้าฤดูฝนแล้ว เชื้อไวรัสทางเดินหายใจทุกชนิดจะกลับมาระบาดหนักอีก