จับตา! ไข้หวัดใหญ่ H3N2 สายพันธุ์อินเดีย

10 มี.ค. 2566 – ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ทำไมเมื่อจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ในอินเดียลดลง จำนวนผู้ป่วยไวรัสไข้หวัดใหญ่ “H3N2” กลับเพิ่มขึ้น? ไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2 ที่อุบัติขึ้นในอินเดียขณะนี้ จะมีอาการรุนแรงและแพร่ระบาดไปทั่วโลกเหมือนไวรัสไข้หวัดใหญ่ “H3N2” สายพันธุ์ฮ่องกงในอดีตซึ่งมีผู้เสียชีวิตประมาณ 1 – 4 ล้านคนหรือไม่คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

จากเชื้อไวรัสที่สุ่มเสี่ยงจะอุบัติขึ้นใหม่ในอนาคต 10 ลำดับ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ถูกจัดอยู่ใน “อันดับ 2” ที่สุ่มเสี่ยงจะระบาดไปทั่วโลก (pandemic) รองจากอันดับ 1 ไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีความสุ่มเสี่ยงสูงที่จะกลายพันธุ์ระบาดเพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหัน (outbreak)

รายละเอียด 10 ประการของไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2 ที่มีการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันในอินเดียที่ควรทราบ

1.ประเภทของไวรัสไข้หวัดใหญ่

ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีสามสายพันธุ์: A, B และ C ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B พบแพร่ระบาดตามฤดูกาล ในขณะที่ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ C มักทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจเล็กน้อย

ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A สามารถจำแนกได้อีกเป็นสายพันธุ์ย่อย (subtype) ตามชนิดของโปรตีนหนามบนเปลือกหุ้ม (envelope) ของอนุภาคไวรัส สองชนิดคือ: ฮีแมกกลูตินิน (H) และ นิวรามินิเดส

มี H ที่แตกต่างกัน 18 ชนิด (H1-H18) และ N ที่แตกต่างกัน 11 ชนิด (N1-N11) สามารถสุ่มผสมกัน (recombination/reassortment) สร้างเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ “เอ” สายพันธุ์ย่อยใหม่ ตัวอย่างเช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ที่มีสายพันธุ์ย่อยซึ่งพบได้บ่อยที่สุด 2 ชนิดที่คือสายพันธุ์ย่อย H1N1 และ H3N2 ที่แพร่ติดต่อในคน

ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ “บี” ไม่ได้จำแนกเป็นสายพันธุ์ย่อยเช่นเดียวกับไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ แต่ถูกจัดแบ่งออกเป็นสองสายพันธุ์ที่แตกต่างกันคือ B/Yamagata และ B/Victoria สายพันธุ์เหล่านี้ยังสามารถพัฒนากลายพันธุ์ออกไปเป็นสายพันธุ์ย่อยต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป

ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ “ซี” ไม่ได้จำแนกเป็นสายพันธุ์ย่อยเช่นเดียวกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอและบี เนื่องจากมี H และ N เพียงชนิดเดียว

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A สายพันธุ์ย่อย H3N2 ขณะนี้เกิดการติดเชื้อและแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วประเทศอินเดียตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 เป็นต้นมา ไวรัสสายพันธุ์ย่อยนี้เคยระบาดแล้วในอดีตมีชื่อเรียกว่า “ไข้หวัดฮ่องกง” โดยมีอาการคล้ายคลึงกับอาการติดเชื้อจากไวรัสโคโรนา 2019

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A สายพันธุ์ย่อย H3N2 ที่่อุบัติใหม่ในอินเดียตรวจพบครั้งแรกในรัฐทมิฬนาฑูเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 จากนั้นไวรัสได้แพร่กระจายไปยังรัฐอื่นๆ เช่น กรณาฏกะ มหาราษฏระ คุชราต และเดลี

2.อาการเป็นอย่างไร?

อาการของไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2 คล้ายกับไวรัสโคโรนา 2019 ได้แก่ หนาวสั่น ไอ มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บคอ/เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและร่างกาย ท้องเสีย จามและน้ำมูกไหล มีอัตราการติดเชื้อ 15% และมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 0.1-0.5%

3.จะป้องกันได้อย่างไร?

ฉีดวัคซีนในแต่ละปี ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำหรือเจลล้างมือ (มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70%) หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย ปิดปากและจมูกขณะจามหรือไอ และลาหยุดแยกตัวพักอยู่บ้านเมื่อมีอาการและทำงานให้น้อยลงเมื่อป่วย

4.รักษาอย่างไร?

พักผ่อน ดื่มน้ำมากๆ และใช้ยาแก้ปวดลดไข้เมื่อจำเป็น หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงหรือเป็นกลุ่มเปราะบางควรแพทย์เพื่อรับยาต้านไวรัส เช่น “โอเซลทามิเวียร์” และ “ซานามิเวียร์”

5.มีการแพร่ระบาดอย่างไร?

ไข้หวัดใหญ่ H3N2 มีการติดต่อรุนแรงสามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งผ่านทางละอองที่ปล่อยออกมาเมื่อไอ จาม หรือพูดคุยกับบุคคลที่ติดเชื้อ นอกจากนี้ยังสามารถแพร่กระจายได้หากผู้ติดเชื้อใช้มือมาสัมผัสที่ปากหรือจมูกหลังจากสัมผัสกับพื้นผิวที่มีไวรัส

หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นกลุ่มเปราะบางมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่

6.อะไรคือสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ?

เราสามารถลดโอกาสในการติดเชื้อหรือแพร่เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่

สิ่งที่ควรปฏิบัติ หลีกเลี่ยงสถานการณ์แออัดและสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลล้างมือผสมแอลกอฮอล์ 70% อย่าจับปากหรือจมูกของคุณ เมื่อจามและไอ ให้ปิดปากและจมูกให้เพียงพอ ใช้ยาพาราเซตามอลเมื่อคุณมีไข้และปวดเมื่อยตามร่างกาย รักษาความชุ่มชื้นด้วยการดื่มน้ำมากๆ

สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ ถ่มน้ำลายในที่สาธารณะ ใช้การทักทายแบบสัมผัส เช่น กอดรัดสัมผัส จับมือ การรักษาด้วยตนเอง เมื่อมีอาการรุนแรง รับประทานอาหารโดยนั่งติดกับผู้อื่น

7.การติดเชื้อโควิด-19 หรือการฉีดวัคซีนอาจทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอต่อไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2

การติดเชื้อโควิด-19 อาจทำให้ความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเชื้อโรคอื่นๆ เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2 ลดลง โดยโควิด-19 อาจทำลายเนื้อเยื่อระบบทางเดินหายใจเกิดการอักเสบ และกดภูมิคุ้มกัน

การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อาจกระตุ้นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันเฉพาะต่อไวรัส SARs-CoV-2 แต่ไม่กระตุ้นไวรัสอื่นๆ เช่น ไวรัสไข้หวัด H3N2 สิ่งนี้อาจลดการป้องกันข้ามสายพันธุ์และรบกวนระบบความจำของระบบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคอื่น

การติดเชื้อโควิด-19 หรือการฉีดวัคซีนอาจเปลี่ยนแปลงสมดุลของไมโครไบโอมในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งมีบทบาทในการตอบสนองของภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อจากเชื้อโรคอื่นๆ

8.ไข้หวัดใหญ่ “H3N2” ที่กำลังระบาดในอินเดียตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา สุ่มเสี่ยงที่เกิดการระบาดไปทั่วโลก (Pandemic) หรือไม่

ในอดีตไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ย่อย H3N2 ได้เคยระบาดในปี พ.ศ. 2511 มาก่อนโดยเกิดจากการรวมกันของยีนจากไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ A และไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ในมนุษย์ การระบาดใหญ่ในปี พ.ศ. 2511 ได้คร่าชีวิตผู้คนไปประมาณหนึ่งถึงสี่ล้านคนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่นั้นมาไวรัส H3N2 ก็ได้กลายเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่แพร่ระบาดทุกปี และสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนประจำปี ดังนั้น การระบาดของไวรัส H3N2 ที่อุบัติขึ้นในอินเดียขณะนี้อาจจะมีโอกาสน้อยที่จะแพร่ระบาดไปทั่วโลกเหมือนไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2 ต้นตระกูลจากฮ่องกงในปี พ.ศ. 2511 หากทางการอินเดียมีมาตรการติดตามและควบคุมการระบาดอย่างรัดกุม

9.ไข้หวัดใหญ่ “H3N2” ที่พบครั้งแรกในฮ่องกงเมื่อปี พ.ศ. 2511 และได้แพร่ระบาดไปทั่วโลก(Hongkong flu pandemic)

ไข้หวัดใหญ่ H3N2 ตรวจพบครั้งแรกในฮ่องกงในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2511 และแพร่ระบาดไปยังประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ อินเดีย ออสเตรเลีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ

ไข้หวัดใหญ่ H3N2 เป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ที่เกิดจากการสุ่มแลกเปลี่ยน (reassortment) ของยีนจากไวรัสไข้หวัดนก A (H3 hemagglutinin) และไวรัสไข้หวัดใหญ่ A (N2 neuraminidase)

การแลกเปลี่ยนแท่งยีน (gene/genetic reassortment) จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโปรตีนหนาม (แอนติเจน) บนผิวเปลือกของไวรัสครั้งใหญ่ (antigenic shift) ส่งผลให้ไวรัสสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อตามธรรมชาติหรือจากการฉีดวัคซีนที่ใช้ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ก่อนหน้านี้เป็นหัวเชื้อ เป็นกระบวนการที่ไวรัสไข้หวัดใหญ่สองสายพันธุ์หรือมากกว่ามาสุ่มแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรม(ซึ่งมีจำนวน 8 แท่ง) เพื่อสร้างไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน กระบวนการนี้สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่ต่างสายพันธุ์กัน 2 สองสายพันธุ์เข้ามาติดเชื้อเพิ่มจำนวนสร้างไวรัสรุ่นลูกในเซลล์เดียวกัน

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H3N2 สามารถแพร่เชื้อสู่มนุษย์ได้ดี เนื่องจากได้รับยีนช่วยเพิ่มความสามารถในการจับกับตัวรับของเซลล์บริเวณทางเดินหายใจส่วนบนของมนุษย์

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H3N2 ได้คร่าชีวิตผู้คนไปประมาณหนึ่งถึงสี่ล้านคนทั่วโลก โดยมีอัตราการตายไม่สูงประมาณ 0.5%

10.ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2:

ยาต้านไวรัสคือยาที่สามารถช่วยป้องกันหรือรักษาการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่โดยการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสภายในเซลล์

ยาต้านไวรัสสามารถลดความรุนแรงและระยะเวลาของอาการ ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและการรักษาในโรงพยาบาล และป้องกันการเสียชีวิตจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่

ยาต้านไวรัสหลักสำหรับไข้หวัดใหญ่คือ โอเซลทามิเวียร์ (ทามิฟลู) และซานามิเวียร์ (รีเลนซา)ซึ่งอยู่ในกลุ่มของยาที่เรียกว่า สารยับยั้งเอนไซม์นิวรามินิเดส(neuraminidase inhibitors)

โอเซลทามิเวียร์และซานามิเวียร์มีผลในการต่อต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2 รวมทั้งไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B

ควรรับประทานยาโอเซลทามิเวียร์และซานามิเวียร์ให้เร็วที่สุดหลังจากเริ่มมีอาการ ควรได้รับยาภายใน 48 ชั่วโมง เพื่อประโยชน์สูงสุด.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'คารม' บอกรัฐบาลเฝ้าระวังโรคไอกรนใกล้ชิดผู้ปกครองไม่ต้องห่วง

'คารม' เผยรัฐบาลร่วมบูรณาการเฝ้าระวังโรคไอกรนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในโรงเรียน เน้นย้ำเฝ้าระวัง ติดตามอย่างเข้มงวด ป้องกันการแพร่ระบาด ขอผู้ปกครองอย่าเป็นกังวล

'อรชร เชิญยิ้ม' อ่วมโดนพิษไข้หวัดใหญ่เล่นงาน

เรียกได้ว่ากลายเป็นขวัญใจแม่ยกไปแล้ว สำหรับตลกดัง อรชร เชิญยิ้ม ที่พักหลังมีโอกาสได้ไปร่วมเล่นลิเกกับคณะ ศรรามน้ำเพชร อยู่บ่อยๆ แต่วันก่อนเจ้าตัวก็ได้โพสต์ภาพแอดมิทเพราะไข้หวัดใหญ่ผ่านแฟนเพจ "เพจ อรชรเชิญยิ้ม - อรชรจรจัด"