20ปี สสส. ความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพดีขึ้น

สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยภาพรวมยังน่าวิตก จากการศึกษาของมูลนิธินโยบายสุขภาวะสะท้อนภาพชัดเจนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยนั้นมีภาระค่าใช้จ่ายมากกว่ารายได้ในแต่ละเดือน  อีกทั้งครอบครัวคนจนมีลูกหลานและผู้สูงวัยที่ต้องเลี้ยงดูมากกว่าคนวัยทำงานต่างจากกลุ่มคนรวยในสังคม  4 เท่า ขณะที่ในอนาคตเด็กไทยส่วนใหญ่จะอยู่ในครอบครัวที่ยากไร้  แน่นอนว่า ความยากจนเป็นเหตุให้ขาดโอกาสหลายด้าน โดยเฉพาะการสร้างเสริมสุขภาพ

เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรม “20 ปี ภาคีสร้างสุข นวัตกรรมความสุขที่ยั่งยืน” ในงานล้อมวงเสวนาประเด็นความเป็นธรรมทางสังคมและสุขภาพ สะท้อนถึงสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในสังคม จนนำมาสู่ความไม่เป็นธรรมทางสุขภาพในภาพรวม ขณะที่โครงการที่ สสส. มีส่วนร่วมสนับสนุนสามารถเข้าไปเพิ่มโอกาสและลดความต่างได้อย่างมาก

ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการมูลนิธินโยบายสุขภาวะ เผยภาพรวมปัจจัยที่ส่งผลต่อความไม่เป็นธรรมทางสุขภาพในสังคมไทยว่า   ความเหลื่อมล้ำในสังคมทำให้เกิดความแตกต่าง สร้างความไม่เสมอภาพทางด้านสุขภาวะ ที่เห็นเด่นชัด ประกอบด้วยความเหลื่อมล้ำทางรายได้ เมื่อพิจารณาการแบ่งครัวเรือนตามระดับรายได้ออกเป็น 10 กลุ่มตั้งแต่กลุ่มจนสุดถึงรวยสุด  ทั้งนี้ กลุ่มจนสุดเป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อยกว่า 10,000 บาท /ครัวเรือน/เดือน และเป็นกลุ่มที่มีรายได้เพียงครึ่งหนึ่งของรายจ่าย มีอัตราการพึ่งพิงของเด็กต่ำกว่า15  ปี และผู้สูงอายุของครัวเรือนกลุ่มจนสุดจะสูงกว่าผู้มีงานทำ โดยมีอัตราพึ่งพิงถึง 107 % ส่วนกลุ่มรวยสุดมีอัตราพึ่งพิง 37.7%  โดยกลุ่มจนสุดมีจำนวนสมาชิกที่ต้องพึ่งพิงสูงกว่ากลุ่มรวยสุดเกือบ 4 เท่า

นอกจากนี้ ครัวเรือนจนที่สุดมีอัตราการมีงานทำน้อยอยู่ที่ 45.2%  ส่วนใหญ่เป็นงานนอกระบบที่ไม่มีความมั่นคง กลุ่มจนสุดมีภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อรายได้สูงมาก โดยเป็นค่าอาหาร/เครื่องดื่ม/ยาสูบ 66.2% ค่าเดินทาง 13.9% และค่าที่พัก 16.3 %  ในช่วง 15 ปีหลัง (2548-2563) ดัชนีราคาหมวดอาหารเพิ่มเร็วกว่าดัชนีราคาผู้บริโภคโดยรวม  ซึ่งราคาผักและผลไม้ที่ผู้บริโภคจ่ายแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้คนจนไม่สามารถเข้าถึงได้ ทั้งที่เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างเสริมสุขภาพ ขณะที่สวัสดิการรักษาพยาบาลของสมาชิกในกลุ่มจนสุดเกือบทั้งหมด คือ บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า  และราคาที่อยู่อาศัยแพงขึ้นกว่าค่าจ้างแรงงาน ทำให้มีบ้านยากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนจนสุดภาระค่าใช้จ่ายเรื่องบ้านทั้งมีบ้านเองและเช่าจะสูงมาก

“ปัจจัยทางเศรษฐกิจมีผลอย่างมากต่อการมีสุขภาพที่ดี ความเหลื่อมล้ำทำให้ความพยายามพัฒนาสร้างเสริมสุขภาพอาจจะไม่สามารถเข้าถึงคนทุกกลุ่มได้ นำสู่ความแตกต่างด้านสุขภาพ  ฉะนั้น การมีสวัสดิการช่วยเหลือและการให้โอกาสเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมทางสุขภาพให้กับทุกกลุ่มประชากร เช่น โอกาสที่จะได้ปลดหนี้สิน โอกาสในการเข้าถึงการศึกษาของลูกหลาน โอกาสมีบ้าน เป็นต้น  เมื่อมีความมั่นคงจะสามารถวางแผนอนาคตได้ แต่ถ้าไม่มีความมั่นคง การวางแผนในชีวิตจะยาก รวมถึงเรื่องสุขภาพด้วย ” ดร.เดชรัต กล่าว

เวทีนี้หยิบยกตัวอย่างโครงการที่ สสส.สนับสนุนสร้างโอกาสการเข้าถึงและความเป็นธรรมทางสุขภาพ เช่น นโยบายสวนผักคนเมือง   เมื่อผักราคาแพง ทำให้คนจนเข้าไม่ถึง แต่โครงการผักคนเมืองส่งเสริมให้ชุมชนปลูกผักเองในพื้นที่ว่าง ทำให้เข้าถึงผักได้มากขึ้นตามมาตรฐานบริโภคผัก 240 กรัมต่อคนต่อวัน หรือ 7.2 กิโลกรัมต่อเดือน

ขณะที่ชุมชนบูรพา 7 ใช้พื้นที่ 1 งานปลูกผัก สามารถเลี้ยงคนได้ถึง 22 คน เพื่อให้แต่ละคนได้ 240 กรัม/คน/วัน เป็นอีกงาน สสส. ช่วยเพิ่มความเข้มแข็งของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือโครงการนำพืชผักที่ผลิตได้จากท้องถิ่นเชื่อมโยงเข้าสู่เมนูอาหารในโรงเรียนประถมศึกษา ที่ อ.จอมพระ จ.สุรินทร์  ช่วยสร้างรายได้ให้คนในท้องถิ่น ปี 2563 ท้องถิ่นมีรายได้กว่า 1 ล้านบาท  ซึ่งควรผลักดันเป็นนโยบายระดับประเทศ ทั้งยังลดช่องว่างระหว่างราคาที่ผู้บริโภคจ่ายกับราคาที่เกษตรกรได้รับ

นอกจากนี้ เดินหน้าโครงการบ้านมั่นคงเพื่อการเข้าถึงที่อยู่อาศัยของคนจนเมือง  ส่งผลคนจนมีรายได้ต่อเดือนเพิ่มขึ้น หนี้สินลดลง  ความเป็นธรรมทางสุขภาพยังครอบคลุมถึงกลุ่มผู้ต้องขังผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน(ผู้ต้องขัง) กลุ่มแกนนำและกลุ่มขยายผลให้มีความรู้เรื่องสุขภาพช่องปาก สนับสนุนการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ สร้างโอกาสให้กับกลุ่มประชากรเฉพาะ

ศิริรัตน์ ปัจฉิมกุล เจ้าพนักงานทันตสาธารณสุขชำนาญงาน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า  เรือนจำเป็นพื้นที่ปิด ซึ่งพื้นที่เฉพาะการดูแลสุขภาพร่างกายและช่องปากเป็นสิ่งจำเป็น ที่ผ่านมา การแปรงฟันของผู้ต้องขังถูกละเลย โครงการในเรือนจำกลางฉะเชิงเทรามีผู้ต้องขัง 3,891 คน และมีผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน 91 คน มีการคัดเลือกเหลือ 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มแกนนำ 40 คน และกลุ่มขยายผล  20 คน  พัฒนาศักยภาพให้มีความรู้เรื่องสุขภาพช่องปาก มีทักษะการแปรงฟัน ดูแลสุขภาพช่องปากตนเองได้อย่างเหมาะสม และสามารถถ่ายทอดทักษะการแปรงฟันได้ ผ่านกระบวนการบอกให้รู้ ทำให้ดู ฝึกให้ทำ  และนำไปทำต่อ หลังผ่านไป 6 เดือน พบว่า ผู้ต้องขังมีองค์ความรู้มากขึ้น ดัชนีเหงือกอักเสบลดลง ค่าจุลินทรีย์ลดลงสะท้อนการแปรงฟันได้สะอาด นอกจากนี้ เกิดผลที่มากกว่าการดูแลช่องปาก คือ ผู้ต้องขังเห็นคุณค่าตนเอง มีความหวัง พลังใจ ฝึกจิตใจให้อ่อนโยน และเตรียมตัวกลับสู่สังคม

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ผลักดันกม.ละเมิดในโลกออนไลน์ เยาวชนเผชิญภัยคุกคามพุ่งพรวด

มีความร่วมมือระหว่าง สำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา (สำนัก 11) สสส. กับสำนักงานกิจการยุติธรรม (สกธ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาร่างบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระทำผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์

MRT Healthy Station เดินทางสู่เฟซ 3 สสส. สานพลัง BMN ต่อยอดพื้นที่สาธารณะสื่อสารสุขภาพ เนรมิตอุโมงค์บางซื่อ ให้กลายเป็น Walk Stadium เดินฟาสต์ให้ร่างฟิต

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูล์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. มุ่งสร้างนวัตกรรมสุขภาพ ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ (NCDs)

“สมศักดิ์” เห็นชอบตั้ง “ชาญเชาวน์” อดีตปลัดยุติธรรม จับมือหน่วยงานเกี่ยวข้องปราบบุหรี่ไฟฟ้า กวดขัน “ห้ามพกพา-สูบ” ในสถานที่ราชการ สนามบิน

เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2567 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองประธานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ คนที่ 1

สุขให้เป็น..ก็เป็นสุข จิตวิทยาเชิงบวก ห่างไกล...ซึมเศร้า

ในงานสัมมนาวิชาการเรื่อง “สุขเป็น:จิตวิทยาเชิงบวกในชุมชนโดยกลไกชุมชน” ภายใต้โครงการสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต เด็ก เยาวชน และครอบครัว ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

สสส. ห่วง "เด็กและเยาวชน" ติดกับดักความสุข เปรียบเทียบภาพความสำเร็จกับคนอื่น

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)กล่าวว่า สสส. สนับสนุนภาคีเครือข่าย สร้างนวัตกรรมการเรียนรู้หลายรูปแบบ โดยร่วมกับ Eyedropper Fill กลุ่มนักออกแบบที่เคยร่วมงานจากนิทรรศการ “Homecoming

ระดมความคิด"ถก"กม.โลกร้อน ชี้ทุกประเทศต้องร่วมมือพิทักษ์โลก

การสัมมนารับฟังความคิดเห็นต่อการจัดทำกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศบนฐานสิทธิมนุษยชน ณ ห้อง 201 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)