ความสำเร็จจากการร่วมมือขับคลื่อนงานสร้างเสริมในประเทศไทยที่ผลักดัน โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภาคีเครือข่ายและภาคียุทธศาสตร์ ทั้งการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ดึงดูดให้คนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่เสี่ยงเจ็บป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อ หรือ NCDs เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม วิถีชีวิต และปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาวะที่ดี การเติบโตของภาคีสร้างเสริมสุขภาวะที่ขยายครอบคลุมทั่วประเทศไทย การปรับกลยุทธ์การทำงานเพื่อรับมือโรคระบาดโควิด-19 และทิศทางทำงานในระยะ 10 ปี ได้รับการนำเสนอผ่านงานใหญ่ “20 ปี ภาคีสร้างสุข : นวัตกรรมความสุขที่ยั่งยืน” เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี ซึ่งจัดขึ้นในรูปแบบไฮบริด เมื่อวันก่อน ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ โดย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คนที่ 1 เป็นประธาน
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ กล่าวว่า การดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพในระยะต่อไปต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยให้ยกระดับการทำงาน ลดขีดจำกัดในการขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาพ หาต้นเหตุของปัญหา คิดใหม่ ทำใหม่ อย่างสร้างสรรค์ เริ่มจากต้นทุนเครือข่ายที่มี พัฒนาศักยภาพของคน ขยายผล ขยายประโยชน์ สู่สังคมวงกว้าง เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมสุขภาวะ ต้องทำงานบูรณาการสานพลังทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น วิชาการ และภาคประชาชน ขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ สสส. และภาคีเครือข่ายที่ร่วมกันขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาวะมา 20 ปี มีการผสานความร่วมมือวางแนวทางการสร้างเสริมสุขภาพในอนาคต เพื่อให้สังคมไทยเห็นคุณค่าของงานสร้างสังคมสุขภาวะร่วมกัน นำไปสู่การพัฒนาสังคมสุขภาวะอย่างยั่งยืน
ตลอดระยเวลาสองทศวรรษ สสส. เป็นแกนกลางขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพแนวใหม่ร่วมกับ 2,000 ภาคีเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม ทั้งในและนอกระบบสุขภาพ
ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า ความร่วมมือช่วยสร้างนวัตกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพที่สำคัญของคนไทย ลดปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ และส่งเสริมการมีวิถีชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาวะ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน โดยใช้ยุทธศาสตร์ “ไตรพลัง ขับเคลื่อนสังคม” สสส. สร้างการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในประเด็นสุขภาพอย่างน้อย 20 การเปลี่ยนแปลง
ในทศวรรษหน้า ดร.สุปรีดา ระบุ สสส. และภาคีเครือข่ายเน้นการทำงานสุขภาพที่มีความสำคัญอย่างต่อเนื่อง แต่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้เหมาะสมกับสภาวะปัญหาหรือสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป รับมือโจทย์ใหม่ๆ ที่มีความท้าทาย มุ่งสร้างการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การมีส่วนร่วมในการจัดการสุขภาพของตนเอง และลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนแก่ประเทศ
ภายในงาน นายสุริยา ยีขุน นายกเทศมนตรีตำบลปริก อ.สะเดา จ.สงขลา เป็นตัวแทนภาคีสร้างเสริมสุขภาวะจากทุกภาคส่วนกล่าวปฏิญญาภาคีสร้างเสริมสุขภาวะ ประกาศเจตนารมณ์ ‘ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ ประชาชนมีสุขภาวะที่ดี โดยมิได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ 10 ข้อ ได้แก่ 1.มุ่งสู่การบรรลุทิศทางและเป้าหมายทศวรรษที่ 3 (พ.ศ. 2565-2574) โดยขจัดปัจจัยเสี่ยงหลักและพัฒนาปัจจัยเสริมสุขภาพ 2.ขยายและผนึกแนวร่วมเพื่อสร้างกลไก ขยายโอกาส สร้างความเป็นธรรมในสังคม 3.พัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีและสังคมเพื่อสร้างเสริมสุขภาวะ 4.ขยายภาคีสร้างเสริมสุขภาวะที่มีความหลากหลายและครอบคลุม พัฒนาศักยภาพ เปิดพื้นที่ทางความคิดและทางกายภาพในการทำงานร่วมกันมากขึ้น 5.ร่วมสานพลังสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่
6.สร้างเสริมสุขภาวะสำหรับทุกช่วงวัย 7.ร่วมขับเคลื่อนเพื่อให้คนในสังคมไทยสามารถใช้สื่อเป็นเครื่องมือเพื่อสนับสนุนวิถีชีวิตสุขภาวะ 8.มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการและความเป็นพลเมืองของเด็กและเยาวชน 9.มุ่งสานพลังภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนขับเคลื่อนการรองรับสังคมสูงวัย และ 10.ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนพร้อมที่จะดูแล ร่วมมือ และปกป้อง สสส. ให้เป็นองค์กรของสังคมที่มั่นคง บริหารงานอย่างโปร่งใสภายใต้หลักธรรมาภิบาล ปราศจากการแทรกแซง
ด้าน พญ.พูนาม เคตราปาล ซิงห์ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออก (WHO-SEARO) กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับ สสส. ในโอกาสครบรอบ 20 ปี และการได้รับรางวัลเนลสัน แมนเดลา ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ประจำปี 2564 ซึ่ง สสส. สมควรได้รับเป็นอย่างยิ่ง ผลงานตลอด 20 ปี ได้พิสูจน์ว่าขบวนการสร้างเสริมสุขภาพในประเทศไทยที่ผลักดันโดย สสส. และภาคีเครือข่ายเป็นต้นแบบที่โดดเด่นของภูมิภาค โดยเฉพาะในการสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของการขับเคลื่อนความร่วมมือโดยทุกภาคส่วนในสังคมเพื่อการพัฒนาสุขภาวะ นับเป็นหัวใจสำคัญในการจัดการกับความท้าทายด้านสุขภาพของโลกยุคปัจจุบัน ทั้งเรื่องการจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและการตอบสนองต่อสถานการณ์โควิด แนวทางนี้นำไปสู่การยกระดับผลลัพธ์ทางสุขภาพของประชาชน การเพิ่มความเป็นธรรมทางสุขภาพ ตลอดจนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
ตลอด 3 วันของงานยังมีไฮไลท์“กิจกรรม Active Learning” ผ่านนิทรรศการ 20 ปี ภาคีสร้างสุข ทั้งในสถานที่จริง และในรูปแบบนิทรรศการเสมือนโชว์ผลงานนวัตกรรมสุขภาพ อาทิ โต๊ะประชุมยืน ช้อนปรุงลด เครื่องวัดความเค็ม Salt Meter เสาหลักนำทางจากยางพารา ฯลฯ ผลงานที่จดสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ อาทิ อุปกรณ์รองนั่งสำหรับขับถ่าย ผลิตภัณฑ์ลูกอมสมุนไพรหญ้าหมอน้อยที่มีสรรพคุณช่วยลดการสูบบุหรี่ ผลงานโชว์เคส 16 บูธ อาทิ ฉลากทางเลือกสุขภาพ กิจกรรมเล่นตามวัย โดยประชาชนสามารถมีส่วนร่วมสร้างสุขภาวะที่ดีและติดตามความเคลื่อนไหวผ่านทางเว็บไซต์ https://20th.thaihealth.or.th
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รณรงค์ "กินให้หมดจาน" 50ร้านต้นแบบช่วยลดขยะ
รู้หรือไม่?!?..... มีสถิติระบุว่า ขยะอาหารโลกพุ่งกว่า 1 พันล้านตัน ภาพขยะกองสูงเป็นภูเขาที่รอฝังกลบ กว่าครึ่งคือขยะอาหาร คนไทยเพียงคนเดียวผลิตขยะสูงลิ่ว 146 กก./คน/ปี
“รองนายกฯ ประเสริฐ” สั่งเดินหน้าคุมเข้มลดเจ็บ-ตายปีใหม่ เฝ้าระวัง “นักซิ่งเยาวชน” หลังพบดื่มแล้วขับ “เจ็บ-ตาย” เฉลี่ยชั่วโมงละ 3 คน เล็งเชื่อมข้อมูลทำระบบ “ใบสั่งออนไลน์”
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
"สิทธิในอาหาร..เพื่อชีวิตที่ดี" ทุกภาคส่วนต้องร่วมผลักดัน
องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กำหนดให้วันที่ 16 ต.ค.ของทุกปี เป็นวันอาหารโลก (World Food Day) เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงสิทธิในอาหาร
สสส. ทำถึง กวาด 14 รางวัลสื่อสาร จากแอด พีเพิล อวอร์ส 2567 ผ่าน 5 ผลงาน สื่อสารการตลาดเพื่อสังคม “Walk Stadium” “หมวกกันน็อกคืนชีพ” “แอร์ล้างได้ปอดล้างไม่ได้” “พวงเครื่องปรุงจิ๋ว” “การเดินทางของบุหรี่”
น.ส.สุพัฒนุช สอนดำริห์ ผู้อำนวยการสำนักอาวุโส สำนักสื่อสารการตลาดเพื่อสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ผลงานโฆษณาและการสื่อสารการตลาดเพื่อสังคม สสส. ได้รับรางวัลแอด พีเพิล อวอร์ส 2567
ต่อยอด! ติดอาวุธสมองป้องกัน ความเสี่ยงภัยบนโลกไซเบอร์
ผลสำรวจปี 2567 คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตมากถึง 88% ของประชากรทั้งหมด และส่วนใหญ่ใช้งานนานเกือบ 8 ชั่วโมงต่อวัน แสดงให้เห็นว่าเราใช้เวลาเกือบ 1 ใน 3 ท่องโลกอินเทอร์เน็ต