ลมหายใจสะอาดเกิดขึ้นได้ต้องได้รับความร่วมมือ สสส.-สช.-ทส.เปิดเวทีสมัชชาสุขภาพ เสนอแนวทางแก้ปัญหาฝุ่นจิ๋วพีเอ็ม 2.5 สานพลังดึงภาครัฐ-เอกชน-ประชาสังคมมีส่วนร่วมเป็นวาระแห่งชาติ ชงร่างมติสมัชชาสาธารณะ ผลักดันนโยบายบังคับใช้กฎหมาย-เสริมแนวคิดลดเผา-การจัดการเชิงพื้นที่-ส่งต่อองค์ความรู้-พัฒนานวัตกรรม มุ่งลดผลกระทบสุขภาพประชาชน กำจัดฝุ่นละอองควันทุกรูปแบบ
ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่เกิดจากมลพิษทางอากาศ โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงงาน ไอเสียจากยานพาหนะ การเผาขยะ หมอกควันข้ามแดนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตเป็นอันดับ 5 ของโลก ทั้งนี้ จากสถิติเมื่อปี 2558 นอกจากนั้นยังกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ สังคมเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวเปิดงาน
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) จัดงาน “สมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ” เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาคราชการ ภาคการเมือง ภาควิชาการ ภาควิชาชีพ ภาคการศึกษา ภาคประชาสังคมและภาคเอกชน เข้าร่วมงานกว่า 400 คน ในระบบ Zoom
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการ สช. กล่าวว่า มลพิษทางอากาศจากฝุ่นพีเอ็ม 2.5 เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทยที่สะสมมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี จากข้อมูลการตรวจสอบคุณภาพอากาศ โดยศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ เมื่อเดือนมีนาคม 2564 พบว่า ทุกภูมิภาคมีปริมาณฝุ่นพีเอ็ม 2.5 เกินค่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดที่ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยภาคเหนือตรวจวัดได้สูงสุดอยู่ที่ 166 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าเกินค่ามาตรฐานที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกว่า 5 เท่า
ชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
การจัดงานสมัชชาสุขภาพครั้งนี้จึงเน้นการจัดทำนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม โดยเปิดพื้นที่ให้ผู้เข้าร่วมงานทุกคนเป็นกำลังสำคัญในการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ สวมบทบาทเป็นทั้งผู้สร้าง ผู้กำหนด และผู้รับประโยชน์จากนโยบายสาธารณะ โดยร่วมพิจารณาร่างมติสมัชชาต่อประเด็นมลพิษทางอากาศจากฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพร่วมกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางการรับมือกับปัญหามลพิษทางอากาศที่จะเกิดขึ้นในปี 2565
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ของ ทส. กล่าวว่า ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ เกิดจากสาเหตุสำคัญ 5 ข้อดังนี้ 1.แหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศที่ระบายมลพิษเกินเกณฑ์มาตรฐานที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ 2.การเผาในที่โล่งจากการเกษตร 3.การบริหารจัดการเชื้อเพลิงที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนงานและทันต่อสถานการณ์ 4.ข้อจำกัดด้านข้อมูลวิชาการเพื่อการบริหารจัดการ และ 5.ประชาชน รวมถึงภาคส่วนต่างๆ ยังไม่มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา จึงต้องเร่งบูรณาการแก้ไขปัญหาแบบมีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดข้อเสนอทางนโยบายที่มีความสอดคล้องกับบริบทและเงื่อนไขเฉพาะแต่ละพื้นที่
อรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)
ปี 2565 ภายใต้ Road Map มีประเด็นการระมัดระวังการเพิ่มฝุ่นละอองจากจำนวนรถเก่าที่มีจำนวนมาก ส่งเสริมมาตรการ Work From Home การใช้ระบบขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้าให้มากขึ้น จัดระเบียบการเผาไร่ข้าวโพด มีการใช้ดาวเทียมแบบจำลองซูเปอร์คอมพิวเตอร์ด้วยการพยากรณ์ล่วงหน้า Air for Thai ปัจจุบันมีผู้ใช้ 7 ล้านคน
"ต่อไปทุกคนจะทราบว่าในสถานการณ์ฤดูฝุ่นจะป้องกันและช่วยเหลือกันได้อย่างไร แหล่งกำเนิดฝุ่นอยู่ที่ไหน ถือเป็นความท้าทาย ซึ่งการประชุมคณะทำงานที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ให้ใช้เครื่องจักรจัดเก็บบดอัดป้อนโรงไฟฟ้าชุมชนภาคเอกชน โรงไฟฟ้าชีวมวลแปรรูปเป็นอย่างอื่น การลงทุนภาคการเงินของธนาคารเกิดวงจรนำไปใช้ประโยชน์ให้เกิดรายได้ควบคู่กัน การปฏิรูปที่ดินโดยไม่ใช้ไฟฟ้า ส่งเสริมใช้ประโยชน์ที่ดินเกษตรผสมผสาน เกิดผลตอบแทนระยะยาว มีผลต่อสุขภาวะอนามัยเป็นการช่วยกันอนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ำ"
ส่วนปัญหาหมอกควันข้ามแดนมีข้อตกลงความร่วมมือกัน แจ้งเตือนประเทศเพื่อนบ้านในการถ่ายทอดเทคโนโลยีองค์ความรู้ให้กับประเทศเพื่อนบ้าน สื่อสารกันอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ประเทศไทยพร้อมที่จะเป็นผู้นำในอาเซียนเพื่อแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยกันสร้างลมหายใจสะอาดเป็นมติ ครม.ในปี 2565
ผู้เข้าร่วมเสวนาผ่านทาง Zoom
นายชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ จาก สสส. กล่าวปิดการประชุมว่า ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 กลายเป็นต้นเหตุสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนไทย โดยเฉพาะเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจต่างๆ สสส.ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างยิ่งยวด จึงมุ่งสานพลังทุกภาคส่วนขับเคลื่อนการทำงานตั้งแต่ระดับพื้นที่ไปจนถึงระดับนโยบาย
ที่ผ่านมา สสส.ร่วมกับสภาลมหายใจ 8 จังหวัดภาคเหนือ ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมทำงานอย่างทุ่มเท แก้ปัญหาวิกฤตฝุ่นพีเอ็ม 2.5 อย่างเป็นรูปธรรม ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงค่านิยมในระดับภูมิภาค เช่น ลดการเผาภาคเกษตร จัดทำแนวกันไฟชุมชน สานพลังประเทศเพื่อนบ้านลดปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน ดังนั้น การร่วมกันกำหนดทิศทางนโยบายเพื่อผลักดันการจัดการปัญหาพีเอ็ม 2.5 โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยมีเป้าหมายที่จะหายใจด้วยอากาศสะอาดอย่างเท่าเทียมกัน จะสามารถสะท้อนปัญหา ความต้องการ วิธีแก้ไขที่มาจากความคิดเห็นและการมีส่วนร่วม เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอทางนโยบายระดับท้องถิ่นและระดับชาติด้วยมาตรการและแนวทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
“สมัชชาสุขภาพเห็นชอบรับรองร่างมติสมัชชาเฉพาะประเด็นมลพิษทางอากาศจากฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ มุ่งสร้างพื้นที่กลางของทุกภาคส่วนในสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมและขับเคลื่อนการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศในทุกมิติครอบคลุมประเด็นด้านกฎหมายและนโยบาย ด้านการจัดการป้องกันและลดปัญหาจากต้นเหตุที่สำคัญ ด้านการขับเคลื่อนบริหารจัดการเชิงพื้นที่และชุมชนเป็นฐาน ด้านวิชาการพัฒนาองค์ความรู้ ข้อมูล และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยข้อตกลงร่วมหรือพันธสัญญานี้ใช้เป็นแนวทางดำเนินการและติดตามอย่างต่อเนื่อง ของหน่วยงานสุขภาพทุกภาคส่วนและภาคีเครือข่ายสมัชชาทุกภาคส่วน รวมทั้งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนงานของ สสส. เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”นายชาติวุฒิกล่าวสรุป.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ชวนนักดื่ม “ตรวจตับ-เลิกจับขวด” ฟื้นฟูสุขภาพคืนความสุขครอบครัว
"งดเหล้าเข้าพรรษา" ในระยะเวลา 3 เดือน ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งในเทศกาลสำคัญ ที่มุ่งเน้นให้ชาวพุทธงดดื่มแอลกอฮอล์ ไม่เพียงเป็นการรักษาประเพณีและศีลธรรมเท่านั้น
“สุรศักดิ์” รมช.ศธ. เดินหน้าขับเคลื่อนรถรับส่งนักเรียนปลอดภัย ชูโมเดล “ศูนย์เรียนรู้รถรับส่งนักเรียนปลอดภัย จ.อยุธยา” ของสสส.
วันที่ 18 พ.ย. 2567 ที่ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดศูนย์การเรียนรู้การจัดการรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัย โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ภายในงานเวทีสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาศูนย์เรียนรู้รถรับส่งนั
สสส.สานพลังภาคี ขจัดความเหลื่อล้ำกิจกรรมทางกาย ดึงคนไทยสู่เวอร์ชั่นใหม่
กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (ทีแพค) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม
สสส.-สคล. ผนึกภาครัฐ เอกชน จัดแข่งฟุตซอลเยาวชนไม่เกิน 15 ปี ชิงถ้วยกรมสมเด็จพระเทพฯ
สสส. โดยสมาคมเครือข่ายงดเหล้าและปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ (สคล.) ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายและภาคเอกชน รวม 7 องค์กร ลงนามความร่วมมือ พร้อมจัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ
"สิทธิในอาหารเพื่อชีวิตที่ดี" ความตระหนักรู้เสริมสุขภาวะ
เด็กทั่วโลกเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านอาหาร เพราะการบริโภคไม่สมดุล ส่งผลต่อสุขภาวะอ้วนผอม ชาวโลกเผชิญความอดอยากเกือบ 300 ล้านคน
สสส.ชวนคนรักสุขภาพ ร่วม'เมื่อคุณเริ่มวิ่ง หัวใจเต้นแรง' กระตุ้น'นักวิ่งหน้าใหม่'ลงสนาม8ธ.ค.นี้
เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 11 พ.ย. 2567 ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ กรุงเทพฯ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. ร่วมกับ สมาพันธ์ชมรมเดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพไทย จัดงานแถลงข่าว Thai Health Day Run 2024 วิ่งสู่วิถีชีวิตใหม่ ครั้งที่ 12 ภายใต้แนวคิด “เมื่อคุณเริ่มวิ่ง หัวใจเต้นแรง” ในวันที่ 8 ธ.ค. นี้ ที่สะพานพระราม 8 โดย สสส. มุ่งจุดกระแสกิจกรรมทางกายเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำให้มีสุขภาพดี ลดความเสี่ยงเกิดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ในอนาคต ซึ่งจากผลสำรวจอายุคาดเฉลี่ยทั่วโลกในปี 2567 ของ www.worldometers.info ระบุว่า ไทยมีอายุคาดเฉลี่ยอยู่ที่ 76.56 ปี อายุยืนเป็นอันดับที่ 78 ของโลก ขณะที่ข้อมูลจากฐานข้อมูลการตาย กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข ปี 2561-2565 พบคนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 164,720 ราย สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 คือ ป่วยด้วยกลุ่มโรค NCDs ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวกับพฤติกรรมและวิถีชีวิต