ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ , นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
10 ก.พ.2565 - สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่ความเห็นส่วนตนของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยที่ 24/2564 ลงวันที่ 22 ธ.ค.2564 ที่มีมติเสียงข้างมาก ให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายสิระ เจนจาคะ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(10)
ทั้งนี้ความเห็น คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 ราย พบว่ามี 7 รายมีความเห็นว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายสิระ เจนจาคะ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย นายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ , นายปัญญา อุดชาชน , นายวิรุฬห์ แสงเทียน , นายจิรนิติ หะวานนท์ , นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม , นายนภดล เทพพิทักษ์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์
ขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 ราย คือ นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ , นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ มีความเห็นว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายสิระ เจนจาคะ ไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ
โดยคำวินิจฉัยส่วนตนของ นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ มีรายละเอียดดังนี้
ความเห็น
ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคหนึ่ง ว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายสิระ เจนจาคะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ กรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 9 ผู้ถูกร้อง สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10) หรือไม่ เนื่องจาก ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2538 ศาลแขวงปทุมวันมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 812/2538 คดีหมายเลขแดงที่ 2218/2538 ความอาญา เรื่อง ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ คดีระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุดกองคดีแขวงปทุมวัน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้ถูกร้องเป็นจำเลยว่าผู้ถูกร้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 รวม ๒ กระทงให้จำคุกกระทงละ 5 เดือน เรียงกระทงลงโทษรวมจำคุก 8 เดือน ผู้ถูกร้องรับสารภาพเป็นประโยชน์ แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 98 คงจำคุก 4 เดือน กับให้ผู้ถูกร้องคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 200,000 บาท แก่ผู้เสียหายและริบสัญญาจะซื้อจะขาย จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกร้องเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ทำให้ผู้ถูกร้องเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) อันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6)
เห็นว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) เป็นบทบัญญัติว่าด้วยความเป็นสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงเมื่อมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 และรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (10) เป็นบทบัญญัติว่าด้วยบุคคลผู้มีลักษณะที่ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในกรณีเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน
หากพิจารณาในรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98 (10) แล้ว พบว่าเป็นบทบัญญัติเพิ่มขึ้นใหม่ เพื่อป้องกันมีให้บุคคลที่ขาดความน่าเชื่อถือ ในความสุจริตหรือผู้ที่เคยทำความผิดอันเป็นปฏิปักษ์ต่อประโยชน์สาธารณะได้เข้ามาดำรงตำแหน่งในทางการเมือง อย่างไรก็ดี มีข้อควรพิจารณาดังนี้
1. ความร้ายแรงของความผิด ในส่วนที่เกี่ยวกับฐานความผิดนั้น ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 98 (10) ที่ว่า ...ความผิดต่อ...ทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริต... " เมื่อพิจารณาทั้งอนุมาตรารวมกันแล้วจะเห็นเจตนารมณ์ของมาตราดังกล่าวอย่างชัดเจนว่ามุ่งหมายถึงความผิดที่ทุจริตร้ายแรงอันยอมความมิได้เท่านั้น เทียบได้กับการตีความในเรื่องอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 (3) ที่ว่า "เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว หรืออวัยวะอื่นใด" คำว่า "อวัยวะ" ตามข้อนี้เมื่ออ่านทั้งอนุมาตรา แล้วก็จะเข้าใจได้ว่ามิใช่จะเป็นอวัยวะใด ๆ ก็ได้ หากแต่หมายจำเพาะอวัยวะที่มีความสำคัญเทียบเท่า แขน ขา มือ เท้า นิ้ว ที่บัญญัติไว้ในอนุมาตราเดียวกันเท่านั้น ไม่หมายถึงอวัยวะที่เป็นฟัน ขน เล็บหนัง...ๆ ด้วย แม้กฎหมายจะมุ่งหมายว่าผู้แทนราษฎรต้องไม่มีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจคือไม่ทุจริต แต่ความผิดฐานฉ้อโกงผู้อื่นก็มีความใกล้เคียงกับการผิดสัญญาทางแพ่งอันเป็นเรื่องระหว่างบุคคลกฎหมายจึงกำหนดให้ยอมความได้เพราะมีมูลเหตุมาจากความไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นการส่วนตัว หากเป็น การฉ้อโกงประชาชนซึ่งยอมความไม่ได้จึงจะเป็นกรกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประโยชน์สาธารณะไม่สอดคล้องกับหน้าที่และความรับผิดชอบที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะพึงมี
2.กฎหมายย้อนหลัง การกำหนดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญใหม่ย่อมกระทำได้เพื่อให้ได้บุคคลที่มีคุณสมบัติดีกว่าเดิม แต่หากย้อนหลังนำไปใช้กับการให้พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากการกระทำที่มีมาก่อนกฎหมายบัญญัติย่อมจะไม่เป็นธรรมกับผู้ที่ถูกตัดสิทธิและแม้ว่าการตัดสิทธิจะมิใช่เป็นโทษอาญาโดยตรง แต่การย้อนไปตัดสิทธิดังกล่าวอาจมีผลให้ผู้กระทำต้องถูกดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พ.ศ. 2561 มาตรา 151 ซึ่งมีโทษอาญาก็เท่ากับเป็นการนำกฎหมายที่มีโทษอาญามาใช้ย้อนหลังบังคับกับการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนโดยปริยายอาจจะไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 ได้
3.ระยะเวลาที่ล่วงเลย มากกว่า 20 ปี ในแง่อายุความ แม้ความผิดที่มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ยังขาดอายุความไม่อาจนำมาฟ้องร้องกันได้ตามกฎหมาย หรือเมื่อศาลพิพากษาลงโทษผู้ใดผู้นั้นยังมิได้รับโทษก็ดี... ถ้ายังมิได้ตัวผู้นั้นมารับโท....เกินกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 98 เป็นอันล่วงเลยการลงโทษ จะลงโทษผู้นั้นมิได้ จึงไม่น่าจะนำมาเป็นเหตุเพื่อใช้ตัดสิทธิต่าง ๆ ได้อีก
4.ความน่าเชื่อถือ เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 20 ปี ความไม่แน่นอนชัดเจนของพยานหลักฐานย่อมอาจคลุมเครือไม่น่าเชื่อถือยิ่งเป็นคดีเล็กน้อยยอมความกันได้ยิ่งยากที่จะมีผู้ใดจดจำอย่างแม่นยำได้พยานหลักฐานจึงอาจคลาดเคลื่อนจากความจริงได้ การจะนำมาใช้ตัดสิทธิสำคัญและอาจถูกนำไปดำเนินคดีอาญาได้จึงไม่ควรกระทำ
เมื่อนำข้อพิจารณาดังกล่าวมาประกอบกับเท็จจริงตามคำร้อง คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา คำชี้แจงของหน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องและเอกสารประกอบแล้วความปรากฏว่า เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2537 ผู้ถูกร้องถูกจับกุมที่สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน เลขคดีอาญาที่ 2889/2537 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ต่อมาสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 6 (ปทุมวัน) ได้รับสำนวนจากสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน เป็นสำนวน ส.1 เลขรับที่ 36/2538 คดีระหว่าง พันตำรวจตรี เขมรินทร์ หัสศิริ (ยศในขณะนั้น เป็นผู้กล่าวหา ผู้ถูกร้องเป็นผู้ต้องหาที่ 1 นายสมชาย เกียรติวิทยาสกุล เป็นผู้ต้องหาที่ 2 และนายสิทธิชัย ตุลยนิษก์ เป็นผู้ต้องหาที่ 3 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง จากนั้นเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2538 สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีตาลแขวง 6 (ปทุมวัน) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้ถูกร้อง ผู้ต้องหาที่ 1 ต่อศาลแขวงปทุมวัน เป็นจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 812/2538 คดีหมายเลขแดงที่ 2218/2538 ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มาตรา 91 และมาตรา 83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 และสั่งให้ จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายและริบสัญญาจะซื้อจะขายทั้ง 3 ฉบับ มีคำสั่งให้ยุติการดำเนินคดีผู้ต้องหาที่ 2 และผู้ต้องหาที่ 3 เนื่องจากคดีขาดอายุความร้องทุกข์ และเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2538 ศาลแขวงปทุมวันมีคำพิพากษาว่าผู้ถูกร้องมีความผิดอาญาฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 รวม 2 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 4 เดือน เรียงกระทงลงโทษรวมจำคุก 8 เดือน ผู้ถูกร้องรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน กับให้ผู้ถูกร้องคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 200,000 บาท แก่ผู้เสียหายและริบสัญญาจะซื้อจะขายจากคำชี้แจงของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครไม่ปรากฏข้อมูลการต้องขังและรายนามผู้ต้องขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกา (รท.23 ก) เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่มีการบันทึกข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ อีกทั้งเอกสารถูกทำลายจากเหตุการณ์อุทกภัยในช่วงปี พ.ศ.2554 และศาลอุทธรณ์ชี้แจงว่าไม่มีการอุทธรณ์คดีดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์
มีประเด็นต้องวินิจฉัยเบื้องต้นก่อนว่า ผู้ถูกร้องกระทำกรอันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10) หรือไม่
เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงในคดีจะปรากฏว่า ศาลแขวงปทุมวันมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกร้องมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ก็ตาม แต่เมื่อผู้ถูกร้องโต้แย้งและมีพยานบุคคลยืนยันว่าผู้ถูกร้องได้ยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างระยะเวลาอุทธรณ์คดีดังกล่าว และมีการเจรจาชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียหายแล้ว โดยที่ได้ชำระค่าเสียหายบางส่วนในวันถัดจากวันที่ศาลแขวงปทุมวันมีคำพิพากษา ส่วนที่เหลือชำระหลังจากชำระค่เสียหายบางส่วนประมาณ 20 วัน และในระหว่างระยะเวลายื่นอุทธรณ์ตามที่กฎหมายกำหนด ผู้เสียหายได้ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ต่อศาลแขวงปทุมวัน ทำให้ต่อมาศาลแขวงปทุมวันจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ และไม่รับรองว่าคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด
อีกทั้งผู้ร้องไม่ได้มีพยานหลักฐานใดที่จะแสดงต่อศาสรัฐธรรมนูญว่าคดีดังกล่าวถึงที่สุด จึงไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะเชื่อได้ว่าผู้ถูกร้องต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์โดยทุจริต หตุกรณ์ดังกล่าวล่วงเลยมากกว่า 20 ปีแล้วประกอบกับเป็นความผิดอันยอมความได้ เมื่อเทียบกับการตัดสิทธิทางการเมืองถึงขั้นทำให้สมาชิกภาพของผู้ถูกร้องต้องสิ้นสุดลงแล้ว อาจถูกตัดสิทธิทางการเมืองและอาจถูกดำเนินคดีที่มีโทษทางอาญาอีกซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรง เมื่อยังมีข้อเท็จจริงที่ไม่สอดคล้องกันอยู่จึงไม่สมควรจะรับฟังมาเป็นผลร้ายแก่ผู้ถูกร้อง สมควรพิจารณาให้เป็นคุณ
ดังนี้ เมื่อความผิดในคดีดังกล่าวเป็นความผิดอันยอมความได้และรับฟังได้ว่ามีการถอนคำร้องทุกข์และศาลได้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความแล้ว กรณีตามคำร้องจึงถือไม่ได้ว่าผู้ถูกร้องเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) อันจะทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6)
อาศัยเหตุผลตังกล่าวข้างต้น จึงเห็นว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10)
ขณะที่ ความเห็นส่วนตนของ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ซึ่งวินิจฉัยว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายสิระ เจนจาคะ ไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มีรายละเอียดดังนี้
ความเห็น
ข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา คำชี้แจงของผู้เกี่ยวข้อง และเอกสารประกอบฟังได้ว่า ศาลแขวงปทุมวันมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 812/2538 คดีหมายเลขแดงที่ 2218/2538 ระหว่าง พนักงานอัยการสำนักงานอัยการสูงสุดกองคดีแขวงปทุมวัน โจทก์ ผู้ถูกร้องจำเลย เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2538 ว่า ผู้ถูกร้องกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ให้ลงโทษจำคุก 8ร้องคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 200,000 บาท แก่ผู้เสียหาย และริบสัญญาจะซื้อจะขายรายละเอียดปรากฎตามสำเนาคำพิพากษาพร้อมสำเนาปกหน้าสำนวน ส่วนสำนวนคดีของคดีดังกล่าวได้ถูกปลดทำลายไปแล้ว รายละเอียดปรากฏตามสำเนาบันทึกการปลดทำลายสำนวนความและเอกสารประจำปี พ.ศ. 2549 ศาลอุทธรณ์ชี้แจงว่าคดีดังกล่าวไม่ได้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ และจากคำชี้แจงของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครไม่ปรากฏข้อมูลการต้องขังและรายนามผู้ต้องขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกา (ร.23 ก) เนื่องจากในช่วงเวลาตังกล่าวยังไม่มีการบันทึกข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์อีกทั้งเอกสารถูกทำลายจากเหตุการณ์อุทกภัยในช่วงปี พ.ศ.2554
ผู้ถูกร้องและนายโสกณ เจนจาคะ ซึ่งเป็นพี่ชายของผู้ถูกร้อง โต้แย้งว่า ในคดีดังกล่าวภายหลัง ศาลแขวงปทุมวันได้มีคำพิพากษา ผู้ถูกร้องและนายโสภณ เจนจาคะ ได้มีการนัดตกลงกันกับผู้เสียหาย กล่าวคือ ร้อยตำรวจเอก เขมรินทร์ หัสศิริ (ยศขณะนั้น) โดยผู้ถูกร้องยินยอมที่จะชำระเงินค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย และเมื่อชำระค่าเสียหายครบถ้วนแล้วผู้เสียหายยินยอมที่จะถอนคำร้องทุกข์ ในการชำระค่าเสียหายนั้น นายโสภณ เจนจาคะ จะเป็นผู้ชำระให้และนัดชำระกันที่ศาลแขวงปทุมวัน ต่อมาเมื่อมีการชำระเงินค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายจนครบถ้วนแล้ว ผู้เสียหายจึงได้ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ต่อศาลซึ่งมีพนักงานอัยการมารับรองว่าผู้เสียหายเป็นผู้เสียหายจริง ศาลจึงได้มีคำสั่งอนุญาตให้ถอนคำร้องทุกข์และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ส่วนพลตำรวจตรี เขมรินทร์ หัสศิริ ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีดังกล่าว โต้แย้งว่า หลังจากที่ศาลแขวงปทุมวันมีคำพิพากษาดังกล่าว ผู้เสียหายไม่เคยถอนคำร้องทุกข์ถอนฟ้อง หรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายแต่อย่างใด และไม่ปรากฏพยานหลักฐานและเอกสารที่ยืนยันว่าได้มีการถอนคำร้องทุกข์หรือยอมความกันในคดีดังกล่าว
รัฐธรรมนูญ มาตรา 101 ได้กำหนดเหตุที่ทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงโดยบัญญัติว่า "สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง เมื่อ ...(6) มีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 98 ... " และมาตรา 98 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้ สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ... (10) เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน
มีประเด็นต้องวินิจฉัยเบื้องต้นก่อนว่า ผู้ถูกร้องกระทำการอันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10) หรือไม่
พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ต้องกำหนดให้นำลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 ซึ่งเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีเจตนารมณ์ในการกำหนดลักษณะต้องห้ามของบุคคลเพื่อมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาเป็นเหตุที่ทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติในฐานะที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย จึงต้องมีหลักประกันว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต มีความประพฤติเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือของสาธารณชนตลอดการปฏิบัติหน้าที่
โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) กำหนดให้ผู้ที่เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฏหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนัน ในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน เป็นผู้มีลักษณะ ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้ บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
เป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่บัญญัติขึ้นใหม่ กล่าวคือ ถูกบัญญัติเป็นครั้งแรกไว้ในรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยมีเจตนารมณ์เพื่อป้องกันมีให้บุคคลที่ขาดความน่าเชื่อถือในความสุจริตหรือผู้ที่เคยกระทำความผิดอันเป็นปฏิปักษ์ต่อประโยชน์สาธารณะได้เข้ามาดำรงตำแหน่งในทางการเมือง โดยในส่วนที่เกี่ยวกับฐานความผิดนั้น ได้มีการกำหนดให้สอดคล้องกับหน้าที่และความรับผิดชอบที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะพึงมี โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมีหลักการสำคัญในการยึดถือการที่ศาลได้วินิจฉัยว่าได้มีการกระทำความผิดในเรื่องนั้น ๆ หรือไม่เป็นสำคัญ โดยไม่คำนึงว่ามีเหตุบรรเทาโทษอย่างไรหรือจะถูกลงโทษหรือไม่ โดยเหตุนี้ในเวลาที่มีการล้างมลทินหรืออภัยโทษ บุคคลซึ่งมีลักษณะต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวย่อมไม่ได้รับผลจากการล้างมลทินหรือการได้รับการอภัยโหษ เนื่องจากการล้างมลทินเป็นการลบล้างโทษที่บุคคลผู้กระทำความผิดได้รับโทษมาครบถ้วนและพ้นโทษแล้ว ส่วนการอภัยโทษป็นการให้อภัยแก่ผู้ต้องโทษที่กำลังได้รับโทษอยู่ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องถูกลงโทษต่อไป การล้างมลทินและการอภัยโทษจึงมีลักษณะเป็นการลบล้างโทษไม่ใช่การลบล้างความผิดแต่อย่างใด ดังนั้น ผู้เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ความผิดนั้นยังคงอยู่ จึงต้องถือว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10)
นอกจากนี้ลักษณะต้องห้ามดังกล่าวยังเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้นั้นสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) เนื่องจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้นำลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 มาเป็นเหตุที่ทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ศาลแขวงปทุมวันมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 812/2538 คดีหมายเลขแดงที่ 2218/2538 เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2538 ว่า ผู้ถูกร้องกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ที่บัญญัติว่า
"ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ให้ลงโทษจำคุก 8 เดือน รับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง ให้จำคุก 4 เดือน และให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายและริบสัญญาจะซื้อจะขาย จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกร้องเคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ผู้ถูกร้องเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (10) และเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10) หากคำพิพากษาดังกล่าวเป็นคำพิพากษาอันถึงที่สุด
ทั้งนี้ ผู้ถูกร้องโต้แย้งว่า ผู้เสียหายในคดีดังกล่าวซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 อันเป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้ ได้มีการถอนคำร้องทุกข์ภายหลังศาลแขวงปทุมวันได้มีคำพิพากษาและอยู่ในระหว่างระยะเวลาอุทธรณ์ จึงเป็นการถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุด โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 126 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า
"ผู้ร้องทุกข์จะแก้คำร้องทุกข์ระยะใด หรือจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้"
และศาลได้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ส่งผลทำให้คดีสิ้นสุดลงกล่าวคือ การถอนคำร้องทุกข์ในคดีดังกล่าวซึ่งเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้ย่อมส่งผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 ที่บัญญัติว่า "สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้ .. (2) ในคดีความผิดต่อส่วนตัวเมื่อได้ถอนคำร้องทุกข์ ถอนฟ้องหรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย ... " มีผลทำให้คำพิพากษาของศาลแขวงปทุมวันซึ่งเป็นศาลชั้นต้นระงับไปในตัว อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏพยานหลักฐานและเอกสารที่ยืนยันว่าในคดีดังกล่าวได้มีการยอมความหรือถอนคำร้องทุกข์อันทำให้คดีสิ้นสุดลงแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้เมื่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีลักษณะเป็นการจำกัดตัดสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10)และรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ได้นำลักษณะต้องห้ามดังกล่าวมาเป็นเหตุที่ทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง ดังนั้น การนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่กรณีใดต้องมีการตีความโดยเคร่งครัด อีกทั้งต้องพิจารณาพยานหลักฐานและเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดถี่ถ้วนให้ปราศจากข้อสงสัย เพื่อให้การบังคับใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
กล่าวคือ ต้องรับฟังได้ว่าคำพิพากษาดังกล่าวเป็นคำพิพากษาอันถึงที่สุด โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏพยานหลักฐานและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวนอกจากปกสำนวนและคำพิพากษา เนื่องจากได้มีการปลดทำลายสำนวนความและเอกสาร จึงไม่อาจรับรองได้ว่าคดีถึงที่สุดหรือไม่ อีกทั้งไม่ปรากฏข้อมูลการต้องขังของผู้ถูกร้องในคดีดังกล่าว ประกอบกับคดีดังกล่าวเป็นคดีที่เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลาเนิ่นนานแล้ว จึงเหลือแต่เพียงพยานหลักฐานที่เป็นคำเบิกความของพยาน กล่าวคือ นายโสภณ เจนจาคะ และพลตำรวจตรี เขมรินทร์ หัสศิริ ซึ่งคำเบิกความดังกล่าวมาจากความทรงจำของบุคคลที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว จึงอาจผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้
ดังนั้น จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 อันเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) และเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10) สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องจึงไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10)
อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างตัน จึงเห็นว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกฯ เผยส่งหลักฐานครบปมตั้ง 'ทนายถุงขนม' แล้ว
นายกฯ เผย ส่งหลักฐานเพิ่มเติมให้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วปม 40 สว. ร้องตั้ง 'พิชิต ชื่นบาน'
'สนธิญา' จี้ กกต.รับรอง 200 สว.ก่อนแล้วสอยทีหลัง!
'สนธิญา' จี้ กกต.เร่งรับรอง สว.ใหม่ ค่อยตามเก็บคนทุจริตทีหลัง ลั่นอยากเห็นคนจบ ป.7- แม่ค้า นั่งทำงานระดับประเทศ หลังบรรดาด็อกเตอร์บริหารทำประเทศวิบัติมาหลายปี
ศาลรธน.มติ 6 ต่อ 3 ชี้โทษอาญา ตาม พ.ร.บ.เช็คไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 วินิจฉัย ว่าพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คปี 2534 มาตรา 4 วรรคสอง เฉพาะในส่วนโทษทางอาญา ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
ยาวไป! ศาลรัฐธรรมนูญนัดถกคดียุบก้าวไกลครั้งหน้า 17 ก.ค.
ศาลรัฐธรรมนูญรอตรวจพยานหลักฐานคดียุบพรรคก้าวไกล 9 ก.ค.พร้อมนัดถกต่อ 17 ก.ค.
ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เผยคดียุบพรรคก้าวไกล-ถอดถอนเศรษฐา เสร็จสิ้นก่อน ก.ย.
ศ.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนกรณีการประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 3 ก.ค.นี้ ว่ามีหลายเรื่องอาทิเรื่องกฎหมายเช็คขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เรื่อง MOU
ผลงานรบ.ไม่ออก ผู้นำไม่เปรี้ยง ‘เศรษฐา’ เจอค่อนแคะสไตล์ทำงาน
ใกล้เคียงกับคำว่า สัปดาห์นรก สำหรับช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับกับหลายๆ เรื่อง ทั้งนอกทั้งในรัฐบาล